Custom Search

GANESH (พระพิฆเนศ เทพแห่งความสำเร็จ)

GANESH (พระพิฆเนศ เทพแห่งความสำเร็จ)
Picture from Ganesh Himal , Chiang Mai - Thailand




Thailand is my county as very beautiful and my love Thailand.

View My Stats

Fu Dog

Fu Dog

My Kids HOME VIDEO ...on below.

My Kids HOME VIDEO ...on below.
http://hometangthai.blogspot.com/

Thursday, September 4, 2008

เพื่อนซี้...เรื่องไม่ดีอยู่บนทราย

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

Subject: เพื่อนซี้...เรื่องไม่ดีอยู่บนทราย

> เรื่องเล่า ว่า.... มีคน 2 คนเป็นเพื่อนซี้กัน..
> ต่างร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วยกัน... ระหว่างทาง... เกิดโต้เถียงข
> ัดแย้งไม่เข้าใจกัน
> เพื่อนคนหนึ่ง...พลั้งลงมือ...ตบหน้าอีกฝ่าย
> คนถูกทำ ร้าย...เจ็บปวด...แต่ไม่เอ่ยวาจา... กลับเขียนลงบนผืน ทรายว่า
>
> 'วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า'
>
> พวกเขายังคงเดินทางต่อ...ก ระทั่งถึงแหล่งน้ำพวกเขา
> ตัดสินใจอาบน้ำ...ชำระกาย...พลันคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ...
> เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ...เข้าช่วยชีวิต
>
> คนรอด ตาย...ยังคงไม่เอ่ยวาจา...กลับสลักลง ไปบนหินใหญ่...
>
> ' วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉัน ไว้'
>
> อีกคนไม่เข้าใจ...ถาม ว่า...
>
> ' เมื่อถูกฉันตบหน้า...เธอเขียนลงทราย...แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบน หิน'
>
> อีกคนยิ้มพราย...กล่าว ตอบ
>
>
> ' เมื่อถูกคนที่รักทำร้าย...เราควรเขียนมันไว้บนทราย
> ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบ ล้างไม่เหลือ
> แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย... บังเกิดเราควรสลักไว้บน
> ก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ... ซึ่งต่อให้มีสายลมแรงเพียงใด...ก็ไม่อาจ
> ลบล้าง ทำลาย....'
>
>
>
> ใครมีเพื่อน   ก็ส่งไปให้เค้าอ่านด้วยละกันนะ
>

Sunday, August 3, 2008

Things To Do Before You Die

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

From Forword E-mail ... But look good.

1. Say 'Love'คำว่า 'รัก' พูดง่ายนิดเดียว แต่อยู่ที่ว่าคุณกล้าที่จะพูดหรือไม่ คำว่า ' รัก ' คำเดียวสามารถสร้างปรากฏการณ์แห่งรัก สร้างความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความรู้สึกสุขใจกับคนที่คุณรัก และอาจเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างให้กับชีวิตคุณด้วย ไม่เชื่อก็ลองดู

2. Married การแต่งงานเป็นความฝันสูงสุดของผู้หญิงทั่วไป การได้มีสามีและลูกที่น่ารักช่วยเติมเต็มชีวิตของคุณให้มีความสุขสมบูรณ์ มีสายใยแห่งความเอื้ออาทรต่อกัน และยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าชีวิตนี้เราก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกรัก และมีค่าสำหรับใครค นหนึ่งเช่นกัน

3. Best Friend เพื่อน...หาที่ไหนก็หาได้ แต่จะหาเพื่อนแท้สักคนนี่สิหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก ไม่ว่าคุณจะทำอะไรถูกหรือผิด คุณจะเจอปัญหาหนักหนาสาหัสแค่ไหน เพื่อนแท้เท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างคุณ คอยเป็นกำลังใจ เป็นเพื่อนคู่คิด เป็นเพื่อนแก้เหงา เป็นคนที่ทำให้คุณสนุกสนาน เฮฮา หากคุณมีเพื่อนแท้แล้วจงรักษาเขาเอาไว้ให้ดี

4. Travel หากชีวิตที่ผ่านมาคุณมัวหมกมุ่นอยู่กับการทำงานเพียงอย่างเดียว และซีเรียสกับการใช้ชีวิตว่าจะต้องเกิดประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้มากจนเกินไป พานแต่จะทำให้ชีวิตคุณไม่มีความสุข ในวันหยุดที่จะถึงนี้ลองหาสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อน เพื่อเติมพลังชีวิตให้กลับมาสดใสมีชีวิตชีวาดีกว่าค่ะ

5. Drunk ลองใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงดูสักครั้ง เติมชีวิตให้มีสีสัน เฮฮา ปาร์ตี้ให้สุดๆ กับเครื่องดื่มที่จะทำให้คุณลืมโลก ลืมปัญหา และความวุ่นวายในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ขอเตือนว่าอย่าเมาจนหัวทิ่มกันทุกวันนะคะ ไม่อย่างนั้นคุณคงได้ลืมโลกใบนี้ไปจริงๆ

6. Live Without TV ชีวิตคนเราทุกวันนี้โดนแทรกแซงจากสิ่งประดิษฐ์ และข่าวสารต่างๆ มากมายจนทำให้ชีวิตเรายุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีเวลาได้อยู่กับตัวเอง โดยเฉพาะโทรทัศน์ที่มีกันแทบจะทุกบ้าน กลับบ้านปุ๊บเป็นต้องหยิบรีโมตขึ้นมากด และหมดเวลาไปกับการนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์และเปลี่ยนช่องดูไปเรื่อยๆ คุณลองอยู่อย่างไม่มีโทรทัศน์ดูสักวันสิคะ แล้วคุณจะรู้สึกว่าวันนั้นคุณทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับตัวเองได้มากทีเดียวค่ะ

7. Own House บ้าน คือวิมานของเรา แต่หากเราไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านนั้นก็อาจไม่ใช่วิมานของเราก็ได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองทำงานเก็บเงินและซื้อบ้านเป็นของตัวเองสักครั้งในชีวิต รับรองว่าคุณต้องภูมิใจและมีความสุขกับบ้านที่คุณได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองอย่างแน่นอน

8. Forgiveness เมื่อใดที่มีคนมาทำร้ายเรา หากเรามัวแต่โกรธและจ้องที่จะทำร้ายเขากลับ ความแค้นนี้คงไม่จบไม่สิ้นลงได้ง่ายๆ แต่คุณจงเข้าใจกับความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ไม่มีใครหรอกที่จะไม่เคยทำผิดพลาด ไม่มีใครที่ดีพร้อม ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้ และยอมรับมัน เราก็จะมีความสุขกับชีวิตที่รู้จักการให้อภัยมากขึ้น

9. Be Happy ชีวิตคนเราเกิดมาสั้นนัก ไม่รู้จะมานั่งเศร้าหมองให้ชีวิตห่อเหี่ยวไปทำไม จงมีความสุขและเอน จอยกับสิ่งที่ทำ หรือหากมีปัญหาที่ทำให้ทุกข์ใจ ก็อย่าได้ทุกข์กับมันซะนาน ทางที่ดีหาทางแก้ไขและอยู่กับมันอย่างแฮปปี้จะดีกว่าค่ะ

10. Donate Blood การทำบุญอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าคนรวยหรือคนจน ( ไม่เป็นเอดส์ ) ก็ทำให้เหมือนกันนั่นก็คือ การบริจาคโลหิตเพื่อต่อชีวิตให้กับคนที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ คนคนนั้นอาจเป็นผู้นำครอบครัวที่หาเลี้ยงลูกเมีย หากขาดเขาไปสักคน ครอบครัวหนึ่งอาจต้องประสบกับความโหดร้าย ดังนั้นคุณจงภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือคนอีกหลายชีวิต แม้จะเป็นทางอ้อมก็ตาม

11. Donate Body ขณะที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราต่างเห็นสิ่งเลวร้ายและความสูญเสียมานับไม่ถ้วน แต่หากเรามีโอกาสได้ลองบริจาคอวัยวะเมื่อตายไปเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนที่ต้องการ คุณคิดดูสิคะว่ามันจะดีกว่าที่จะต้องเอาร่างที่ไร้วิญญาณนั้นไปฝังหรือไปเผากว่าเป็นไหนๆ เรียกว่า ตายไปก็ไม่เสียดายชีวิต จริงไหมคะ

Tuesday, July 15, 2008

Feeling Overwhelmed?

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

Feeling Overwhelmed?


Have you ever found yourself walking into the room and can't find your keys? Or forgetting why you entered the room in the first place? Then you begin wondering what has happened to your short-term memory? Do you end up feeling overwhelmed by information, people, to-do lists and demands on your time that our brains simply close down?

It's a phenomenon of our time. Our brains, created to respond to our environment and each other, are exponentially being taxed by the growth in information and technology.

Everyone and everything is competing for your attention. We want to respond but when it's overflowing like that, the brain just "goes blind". Engineers discovered this phenomenon when they installed hundreds of communication devices in cockpits, thinking it would improve the pilot's performance. Instead, the pilot's performance obviously decreased.

Information and technology will not go away. But there are ways to deal with this, here are some:

1. Determine Your Priorities and Focus On Them.
Don't let yourself be pulled into anything from meetings, to readings, to conversations that obstruct your priorities. Literally block out space on your daily to-do list for things that are important to you: from projects, to exercise, to family time. Ensure to stick to these times, without fail.

2. Say "No" To Answering Every Message.
The average individual receives around 70 phone, paper, and e-mail messages a day. Take care of those that are priority and let the rest drop off. Ignore the messages that are uninvited and unnecessary.

3. Let Technology Work For You In Prioritizing.
Screen your calls. For those who depend upon business coming in via phone and need to take every call, develop a way to shorten incoming calls. Have templates that you can use to send repetitive emails and messages, so that you do not have to re-type them each time.

4. Create A Centering Place.
Whether it is in the silence of your car, or in your office, or closing your door, take 15 minutes per day to practice paying attention to ONE thing: your breathing, a flower, a fish tank. Just like the muscle in our bodies, the brain gets strong in the places where we train it. Train it to maintain focus!

Tuesday, July 8, 2008

ของแต่งบ้าน ที่ทำให้บ้านมีสิริมงคล

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

ของแต่งบ้าน ที่ทำให้บ้านมีสิริมงคล
1. ส้ม เป็นรูปภาพก็ได้ หรือผลไม้เหมือนจริงมาใส่ตะกร้าบนโต๊ะในห้องรับแขกจะให้โชคลาภ
2. ทับทิม ควรปลูกไว้หน้าบ้านจะได้ลูกหลานที่ดี และไม่มีภัย
3. โต๊ะต่างๆ ภายในบ้าน ควรจะเลือกเป็นทรงกลม หรือแปดเหลี่ยม ถ้าเป็นสี่เหลี่ยมมุมโต๊ะควรเป็นมนๆ จะเสริมมงคลให้แก่บ้านสามารถขจัดพลังชั่วร้ายและดึงดูดเอาความเจริญเข้าสู่บ้าน
4. ของแต่งบ้านรูปหมู เป็นสัญลักษณ์ของโชคและความอุดมสมบูรณ์
5. ช้าง เป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญาและโชค ควรตั้งช้างไว้ในห้องรับแขก ห้ามตั้งช้างหันหน้าออกสู่หน้าประตูเด็ดขาด จะทำให้ครอบครัววุ่นวายมีแต่เรื่องขัดแย้ง
6. พัด การนำพัดมาตกแต่งบ้าน จะช่วยบันดาลให้คุณและคนในครอบครัวประสบความร่มเย็น เป็นสุข และมักได้ข่าวดีอยู่เสมอ
7. เต่า ควรตั้งตุ๊กตา หรือรูปปั้นเต่าไว้ในห้องนั่งเล่นหรือมุมใดในบ้านก็ได้จะทำให้คนในบ้านสุขภาพดีอายุยืน ยกเว้นห้องทำงาน
8. ไก่ ตุ๊กตาหรือรูปปั้นวัสดุใดก็ได้ ล้วนแต่เป็นสิริมงคลต่อบ้านในทางเรียกโชคลาภเงินทอง
9. เครื่องปั้นดินเผา การแต่งบ้านด้วยเครื่องปั้นดินเผาไม่ว่าจะเป็นรูปใดจะทำให้คนในบ้านมีฐานะการเงินที่มั่นคง

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ “กฎแห่งกรรม”

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ "กฎแห่งกรรม" (*** บ้านดิน ระเบียงดาว *** <info@baandinstar.com> )
"กฎแห่งกรรม" คำนี้เป็นคำที่คนไทยทุกคนรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี จนเข้าใจว่าเป็นเรื่องพูดกันเล่นๆ ก็มี ยิ่งพูดกันไปนานวันเข้า ความเข้าใจก็ยิ่งบิดเบือน บางคนถึงแม้จะเชื่อแต่ก็ไม่สามารถอธิบายคำถามต่างๆได้ บทเขียนนี้มุ่งเน้นที่จะอธิบายว่ากฎแห่งกรรมคืออะไร ทำหน้าที่อย่างไร ประโยชน์ที่ได้รับภายหลังเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยพยายามไม่อ้างอิงตำราและภาษาบาลี เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ ถ้าใครไม่มีเวลาอ่านทั้งหมด จะเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ควรอ่าน เปรียบเทียบปิดท้ายด้วย
1) กรรม
2) ใครเป็นผู้กำหนดกฏแห่งกรรมขึ้นมา
3) ทำไมจะต้องเสียเวลามาสนใจเรื่องกฏแห่งกรรมด้วย
4) การให้ผลของกรรม
5) จะเชื่อได้อย่างไรว่ากฏแห่งกรรมมีจริง
6) ชาติก่อนกับชาติหน้าไม่ใช่ตัวเราแล้วทำไมจะต้องสนใจกฎแห่งกรรมด้วย&ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมที่ คนที่ไม่ได้ทำต้องมารับโทษ
7) ทำไมกรรมต้องรอเวลาส่งผล ทำไมไม่ส่งผลต่อหน้าต่อตาคนจะได้รู้ว่ากรรมมีจริง?
8) กรรมเก่า vs. กรรมใหม่
9) ทำไมทำดีตั้งนานไม่เห็นได้ดี คนเลวบางคนกลับได้ดี
10) ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับและหลังความตาย
11) ประโยชน์ต่อสังคมเมื่อรู้และเข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างถูกต้อง
12) เปรียบเทียบปิดท้าย

สรุป
1) กรรม
คำว่า กรรม จริงๆแล้วเป็นคำกลางๆ หมายถึง 'การกระทำ' อาจเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ได้ ทุกครั้ง ที่สิ่งมีชีวิตกระทำกรรมโดยเจตนาทั้งทางกาย วาจา ใจ จะมีผลย้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ ผลที่ย้อนกลับมานี้ก็คือ 'วิบาก' หรือผลของกรรมนั่นเอง พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ได้มาฟรีหรือเสียไปเปล่า เหมือนเช่นกฎ 'conservation of energy and mass' ในฟิสิกส์ ที่ว่า สสารและพลังงานสามารถเปลี่ยนรูปแบบกันได้แต่สุดท้ายแล้วจะไม่มีอะไรสูญหายไปไหน แต่กฏแห่งกรรมนั้นพิเศษยิ่งกว่าคือมีตัวคูณอยู่ด้วยไม่ใช่ว่าทำ 1 ได้ 1ซึ่งตัวคูณนี้ขึ้นอยู่กับ จิต(คุณธรรม) ของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำนั่นเอง (ถ้ามีโอกาสผู้เขียนจะเขียนเรื่องพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ในโอกาสต่อไป) วิบากนี้เอง เป็นพลังงานอย่างหนึ่งซึ่งเป็นตัวผลักดัน หรือกำหนดให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้ พลังงานของ กรรมนั้นไม่สามารถจับต้องได้โดยตรงแต่สามารถรับรู้ได้ด้วยจิต พลังงานอันเกิดจากกรรมนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่สิ่งมีชีวิตที่มีจิตกระทำการใดๆโดยเจตนาและจะคอยตามให้ผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรงส่งของมันเองขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาไหนกรรมตัวไหนเหมาะสมที่จะส่งผล ซึ่งแม้แต่วิบากของกรรมทั้งกุศลและอกุศลเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้หายไปไหนสุดท้ายแล้วผู้กระทำนั่นเองจะเป็นผู้ได้รับผล ในทางตรงกันข้ามถ้าเรื่องใดไม่มีกรรมมารองรับให้เกิด เรื่องนั้นๆ ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้ กล่าวโดยสรุปแล้วคือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคนทุกคนไม่ไช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะตนเองที่ทำให้เรื่องนั้นๆเกิด การที่พวกเราได้มาเกิดเป็นคนก็เพราะกรรมดีที่เคยสั่งสมบุญบารมีส่งให้เรามาเกิดเป็นคน แต่ในสังคมปัจจุบันคนส่วนใหญ่มัวหลงประมาทกับชีวิตไม่ยอมรักษาแม้แต่ศีล 5 ทำให้โอกาสไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ต่ำกว่าคนนั้นช่างง่ายแสนง่าย
2) ใครเป็นผู้กำหนดกฏแห่งกรรมขึ้นมา
ไม่มีใครสร้างหรือกำหนดกฏนี้ขึ้นมา กฏนี้เป็นกฏของธรรมชาติและไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ภายหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงความจริงของธรรมชาติแล้ว จึงได้นำธรรมะและกฏแห่งกรรมมาพร่ำสอนสรรพชีวิตที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารเพื่อประโยชน์สุขของสิ่งมีชีวิตสืบไป เนื่องจากกฏนี้เป็นกฏของธรรมชาติ ดังนั้น ไม่ว่าก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือภายหลังถ้าศาสนาพุทธเสื่อมหายไปจากโลก กฏแห่งกรรมก็จะยังคงดำรงอยู่ไม่สูญหายไปไหน
3)ทำไมจะต้องใส่ใจเรื่องกฏแห่งกรรมด้วย
กฏแห่งกรรมนั้นเป็นความจริงของจักรวาล ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตจะรู้ หรือไม่รู้จักกฎนี้ก็ตาม ย่อมตกอยู่ภายใต้กฎนี้อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากจะเปรียบกับการเล่นเกมส์ ผู้เล่นย่อมต้องรู้กฎ กติกาของเกมส์นั้น เพื่อที่จะได้มีโอกาสชนะและไม่พลาดพลั้งโดนลงโทษ เช่นเดียวกับเกมส์ที่ทุกคนเล่นอยู่ทุกขณะจิตนี้ เป็นเกมแห่งวัฏสงสาร ซึ่งเดิมพันนั้นอาจเป็น ความสุข – ทุกข์ ชั่วกัปชั่วกัลป์ทีเดียว หรือเปรียบเสมือนบุคคลผู้ถูกผูกตาแน่นหนา(ด้วยอวิชชา) ไม่สามารถเห็นทางข้างหน้าได้ กำลังเดินอย่างไม่รู้จุดหมาย ถ้ามีคนตาดีมาบอกว่าข้างหน้ามีหน้าผา อย่าเดินไป แต่บุรุษผู้ถูกผูกตาไม่เชื่อดึงดันที่จะไป แล้วในที่สุดเดินตกลงไปในเหว เขาจะโทษใครได้เล่า? ในทางตรงกันข้าม ถ้าบุรุษผู้ถูกผูกตายอมเอาผ้าออก(ละมิจฉาทิฐิ) ยอมดูทางข้างหน้าซักนิด(มีสัมมาทิฐิ) อันตรายย่อมไม่เกิด นอกจากจะไม่ตกเหวแล้วเขายังสามารถเดินไปตามทิศทางที่ถูกต้องเพื่อไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัยและมีความสุขได้อีกด้วย
4) การให้ผลของกรรม
กรรมทุกชนิดที่เหล่าสัตว์ทั้งหลายกระทำไม่ว่าจะเล็กจะน้อยอย่างไรก็ตาม ล้วนมีผลกระทบกลับไปหาตัวผู้กระทำแน่นอน ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงแค่คิดตั้งใจจะทำ ไปจนถึงกรรมหนักที่สุดคือ อนันตริยะกรรม 5 กรรมทุกชนิดส่งผลแน่นอน แต่ขอให้ระลึกไว้ว่า วิบากนั้นก็ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์... อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน นั่นก็คือ การให้ผลกรรมนั้นไม่เที่ยง ไม่มีใครสามารถบังคับได้ว่ากรรมชนิดนี้ต้องให้ผลอย่างนี้อย่างนั้น เวลานี้เวลานั้น และ การให้ผลของกรรมนั้น ไม่ว่าจะดูยาวนานแค่ไหนสุดท้ายแล้วจะต้องดับไป ดังนั้น เมื่อเรามีเจตนาทำกรรมทางใดก็ตาม แน่ใจได้เลยว่าเราได้สร้างเหตุที่จะให้ผลของกรรมย้อนกลับมาหาตัวเองแล้ว ส่วนผล คือจะย้อนมาเมื่อไหร่ อย่างไร เท่าไรนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปกำหนดได้ ส่วนการให้ผลของกรรมนั้นจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่จิตได้เจตนากระทำไว้ ทำอกุศลด้วยอำนาจ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ส่งผลเป็นทุกข์ ถ้ากระทำกรรมด้วยกุศลก็ส่งผลเป็นสุข (เรื่องความสุขที่แท้จริงนั้นถ้ามีโอกาสจะเขียนถึงในโอกาสต่อไป) ดังนั้น การที่คนหนึ่งไปตีหัวคนอื่นไว้ก็ไม่แน่ว่าจะโดนตีหัวกลับ แต่อาจเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังเป็นต้น เคยสังเกตกันไหมว่าเรื่องบางเรื่องนั้นดูเหมือนจะบังเอิญเสียจริงถ้าองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งคลาดเคลื่อนไปเพียงไม่กี่นาทีหรือวินาทีเรื่องบางเรื่องก็คงไม่เกิดหรือไปเกิดกับคนอื่น ความจริงแล้วเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย แต่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น ณ วินาทีนั้นๆ เพราะมันมีเหตุให้เกิดตามนั้น หลายคนที่ไม่เชื่อกฏแห่งกรรมนั้น อาจมองว่าการไปทำให้คนอื่นทุกข์จะไม่มีผลกรรมย้อนกลับมาหา ตัวเองเพราะคนอื่นก็คือคนอื่น ตัวเราก็คือตัวเรา ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน จึงไม่น่าจะมีผลอะไรย้อนกลับมาหาผู้กระทำได้ แต่ความจริงแล้ว จิตเรานั่นเองที่ เกิด ดับอยู่กับตัวเราตลอดเวลาและคอยส่งผลตามที่จิตดวงก่อนหน้าได้กระทำไว้ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
5) จะเชื่อได้อย่างไรว่ากฏแห่งกรรมมีจริง
กฎแห่งกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้เพียงแต่คนเราไม่สนใจและกลัวที่จะรู้ว่ากฎแห่งกรรม และชาติก่อนชาติหน้ามีจริง ทำให้ตู่เอาว่ากฎแห่งกรรมเป็นรื่องพิสูจน์ไม่ได้ เปรียบเสมือนตัวกฎหมาย คนบางคนอาจไม่เคยเห็นตัวกฎหมายเลย แต่ทุกคนย่อมต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเชื่อในกฎหมายหรือไม่ ผู้ปฏิบัติผิดกฎหมายย่อมต้องได้รับโทษ จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายมิได้ เพราะประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องรู้กฎหมาย กฎแห่งกรรมก็เช่นกัน สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งก็ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม และมีหน้าที่ต้องระลึกรู้ผลลัพธ์ของกฎแห่งกรรมจึงจะไม่ถลำสู่อบายไปมากกว่านี้
วิธีที่จะเห็นกฎแห่งกรรมอย่างง่ายๆ ก็คือการเจริญวิปัสสนา มีสัมมาสติตามรู้กายรู้ใจเนืองๆ ถ้าทำถูกต้องจะเห็นได้ในเวลาไม่นาน ว่าสิ่งต่างๆล้วนเกิดแต่เหตุ ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ รวมทั้งจิตของสิ่งมีชีวิตก็เกิดดับเป็นทอดๆ ตามเหตุปัจจัยที่กระทบก่อนหน้า ถ้าจิตอกุศลเกิดขึ้นผลตามมาก็คือทุกข์
สำหรับผู้ที่เข้าใจกฏแห่งกรรมแล้ว จะเห็นตามจริงว่า ไม่มีอะไร เกิด-ดับโดยบังเอิญทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดับไปนั้น ล้วนเป็นไปตามเหตุอันควรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ตั้งแต่ความหงุดหงิดระหว่างวัน ไปจนถึง เรื่องใหญ่ๆ เช่น การเกิดกับพ่อแม่คนนั้นๆ การเกิดในที่นั้นๆ เรื่องความรัก ซึ่งทำให้คนมีทั้งสุขทุกข์แทบเป็นแทบตาย ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญทั้งสิ้น แต่ล้วนเพราะมีเหตุซึ่งอาจมาจากชาติที่แล้วหรือชาตินี้ องค์ประกอบต่างๆจึงมาประชุมกันในเวลาที่เหมาะสมแล้วเรื่องต่างๆ จึงเกิดขึ้น
แท้จริงแล้ว ความแตกต่างกันอย่างมากของมนุษย์บนโลกก็เป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่ากฎแห่งกรรมมีจริง บางคนดูเหมือนชีวิตจะเพียบพร้อมไปเสียหมด พบแต่ความสุขสมหวังในชีวิต ในขณะที่คนบางส่วนแทบไม่เคยพบความสุขในชีวิตเลย อะไรเป็นเหตุให้มีความแตกต่างเช่นนี้? ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมเลยถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะความบังเอิญ หรือเพราะคนที่พบความสุขนั้นถูกเลือกปฏิบัติโดยอะไรก็ตาม
6) ชาติก่อนกับชาติหน้าไม่ใช่ตัวเราแล้วทำไมจะต้องสนใจกฎแห่งกรรมด้วย & ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ไม่ได้ทำแต่กลับต้องมารับโทษ
เราจะมาวิเคราะห์ปัญหานี้จาก 2 มุมมอง มุมมองแรก คือมุมมองของคนทั่วๆ ไป ที่คิดว่า ตัวเขาเป็นตัวเป็นตนของเขาอยู่ทุกขณะจิต ในกรณีนี้ เขาก็ยังเป็นเขาอยู่ไม่ว่าชาติที่แล้ว ชาตินี้ หรือชาติหน้า ไม่ว่าเขาจะจำเรื่องที่ผ่านๆมาได้หรือไม่ ลองคิดดูเล่นๆว่า จะมีใครจำตอนที่คลอดออกมาจากท้องคุณแม่ได้หรือไม่ แน่นอนคำตอบก็คือไม่ได้ ดังนั้นจะบอกว่าไม่ได้เกิดมาจากท้องแม่หรือไม่? คนเราจึงไม่ได้ประกอบด้วยแค่ความจำ ฉะนั้นการที่คนเราจำชาติที่แล้วไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่เคยผ่านชาติก่อนมา หรือถ้าจะมองย้อนให้สั้นกว่าการเกิดจากท้องแม่ ลองมองความสุข ความทุกข์ใหญ่ๆที่เคยผ่านมาในชีวิตก็ได้ ถ้ามองตามความเป็นจริงแล้วจะพบว่าความสุขความทุกข์ไม่ว่าใหญ่หลวงแค่ไหน ล้วนผ่านมาแล้วผ่านเลยไปตามแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น สำหรับคนที่เคยผ่านทุกข์ใหญ่ๆมาแล้ว อาจเห็นทุกข์ที่ผ่านมาเป็นเรื่องเล็ก ดังนั้นไม่ว่าใครจะเคยตกนรกขึ้นสวรรค์มาอย่างไร การที่จำความสุข-ทุกข์ที่ผ่านมาไม่ได้ ย่อมไม่ใช่ว่าไม่เคยผ่านจุดนั้นมา ฉะนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตนั่นแหละ ที่ต้องไปเกิดใหม่ รับผลกรรมที่ได้กระทำไว้ ไม่ว่าจะจำชาติที่แล้วได้หรือไม่ก็ตามที ทุกอย่างจึงยุติธรรมที่สุด
ในมุมมองที่ 2 ซึ่งเป็นคำตอบที่แท้จริงในทางปรมัตถ์ ผู้ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบที่เห็นความจริง(ด้วยวิปัสสนา)ย่อมมองเห็นว่าตัวตนเขาไม่มีอยู่จริง ไม่ว่าในขันธ์ไหน ไม่ว่าในชาติที่แล้ว ชาตินี้ ชาติหน้า ก็ไม่มี 'เรา'อยู่ ความทุกข์นั้นมีอยู่จริงแต่ผู้รับทุกข์รวมไปถึงชื่อว่า 'ทุกข์'นั้นเป็นเพียงสมมุติ ทุกอย่างเป็นเพียงการหมุนเวียนของธาตุขันธ์ตามเหตุปัจจัย
ไม่ว่า 'เรา'จะจดจำกรรมที่เคยทำได้หรือไม่ แต่ประเด็นก็คือจิตที่เกิดอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นปัจจัยที่เกิดต่อเนื่องมาจากดวงจิตที่เคยทำกรรมชนิดนั้นๆมา ดวงจิตที่เกิดจากปัจจัยที่เป็นบาปย่อมได้รับทุกข์เป็นผลลัพธ์ สิ่งต่างๆมีเหตุจึงเกิดไม่มีเหตุก็ดับ นี้แลคือความยุติธรรม
สำหรับคนที่หลงมัวเมาทำกรรมชั่วอยู่เป็นนิจ แล้วนึกว่าจะไม่ส่งผลอะไรนั้น เป็นความคิดที่ผิด เพราะกรรมดีที่ส่งให้มาเกิดเป็นมนุษย์ยังไม่หมดต่างหาก เมื่อไรที่กรรมดีที่หนุนให้เป็นมนุษย์หมดลงจะมาสำนึกก็สายไปเสียแล้ว
ข้อสังเกตุ: เป็นเรื่องน่าแปลกที่เวลาคนเรามีความสุขไม่ค่อยมีใครคิดหรือพูดว่า 'ไม่ยุติธรรมเลย ที่เราไม่เคยทำบุญไว้แต่กลับได้รับความสุขเช่นนี้.....' ..........มนุษย์หนอช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน
7) ทำไมกรรมต้องรอเวลาส่งผล ทำไมไม่ส่งผลต่อหน้าต่อตาคนจะได้รู้ว่ากรรมมีจริง?
การที่กรรมจะให้ผลได้นั้น ต้องรอให้องค์ประกอบและปัจจัยทุกๆอย่างเหมาะสม ซึ่งองค์ประกอบที่เหมาะสมนั้นต้องใช้เวลา ใช่ว่าจะสามารถจัดขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังจะเห็นได้ว่าเหตุการณ์บางอย่างอาจเกิดขึ้นเพียงเพื่อให้ผลหลายสิบปีภายหลัง ตัวแปลต่างๆที่จะมีผลต่อการส่งผลของกรรมในโลกก็มีมากมายเกินกว่าจะพรรณนาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นความเจริญของโลกในขณะนั้นๆ การพบปะสิ่งมีชีวิตซึ่งเคยทำบุญทำบาปร่วมกันมา รวมทั้งสิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งหมด จะต้องมาประชุมกันในเวลาที่เหมาะสมที่จะให้ผลดังที่สิ่งมีชีวิตนั้นๆสมควรได้รับ ยิ่งไปกว่านั้น การที่กรรมส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตใดๆ มักจะมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆเป็นลูกโซ่ที่ร้อยเป็นวงกลมไม่มีหัวไม่มีปลายและสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตต้องได้รับผลตามสมควร ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กว่าสิ่งแวดล้อมทุกชนิดจะมาประชุมกันอย่างเหมาะสมต้องใช้เวลาจัด(บางทีก็หลายปีบางทีก็หลายชาติ) ยิ่งไปกว่านั้นภพบางภพก็ไม่เหมาะที่กรรมบางชนิดจะให้ผลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เรื่องบางเรื่องจึงต้องรอไปก่อนอีก (ขอให้อ่าน ทำไมทำดีตั้งนานไม่เห็นได้ดี…… กับ เปรียบเทียบปิดท้าย เพิ่มเติม)
8) กรรมเก่า vs. กรรมใหม่
ความเข้าใจเรื่องกรรมนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้ง ทุกสิ่งที่เกิดกับเรานั้น เป็นผลมาจากทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ไม่ใช่ว่าเป็นผลจากกรรมเก่าอย่างเดียวหรือกรรมใหม่ที่เราจำได้อย่างเดียว อย่างเช่น ถ้ารู้ว่าจะไปเมืองหนาวแต่ไม่เตรียมเสื้อผ้าหนาๆ แล้วเกิดไม่สบายขึ้นมา จะมาโทษกรรมเก่าทำให้ไม่สบายไม่ได้ ในลักษณะเดียวกัน คนที่ขี้เกียจเอาแต่นอนทั้งวัน จะมาโทษกรรมเก่าว่าทำให้จนไม่ได้ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างกรรมเก่ากับกรรมใหม่จะขอยกตัวอย่าง เช่นบุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารประเทศแต่กลับตัดสินใจโกงกินประเทศชาติเพื่อความร่ำรวย กรรมเก่าของเขา (ทั้งชาตินี้และชาติผ่านๆมา) เป็นตัวส่งให้เขามาอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจนั้นๆแต่กรรมเก่าไม่ได้กำหนดให้เขาโกง เมื่อเขาตัดสินใจโกงกินไปแล้ว เขาได้ก่อกรรมใหม่ขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเฉพาะหน้าให้เขามีเงินมีทองขึ้นมา แต่เขาหารู้ไม่ว่า ผลของการโกงกินนั้น คือความทุกข์ที่ยึดเยื้อยาวนานจนความสุขเล็กๆน้อยๆของความรวยในชาติหนึ่งๆนั้น ไม่มีความหมายใดๆเลย .....ระหว่างความร่ำรวยชาติหนึ่งด้วยการโกง แลกกับการต้องมีชีวิตขัดสน เช่นเกิดในเอธิโอเปียเป็นร้อยๆชาติ หรือการไม่โกงใช้ชีวิตไปเรื่อยๆแต่ไมต้องเกิดในที่กันดาล....จะเลือกทางไหน? นี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ แท้จริงแล้ว ผลของการกระทำบาปอย่างไม่รู้จักเกรงกลัว ส่งผลร้ายแรงเกินกว่าที่จะคาดคะเนถึงมากมายนัก ดังนั้นคนที่เข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างถูกต้อง จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแต่จะไม่ทุกข์ร้อนถ้าผลออกมาไม่ถูกใจ เพราะกรรมเก่านั้นผ่านมาแล้วจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา มันมีผลต่อเราแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด.....จงทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วกรรมใหม่จะค่อยๆบั่นทอนผลของกรรมเก่าเอง
9) ทำไมทำดีตั้งนานไม่เห็นได้ดี คนเลวบางคนกลับได้ดี
คนเรามักมีนิสัยเข้าข้างตัวเองอยู่เป็นนิจ มองว่าตัวเองทำดีแล้วถูกแล้วเสมอ แต่แท้ที่จริงแล้ว เอาอะไรเป็นตัววัดว่าดีจริงหรือไม่? แต่ละคนต่างมีบัญชีกรรมยาวยิ่งกว่าหางว่าว แต่อยู่ดีๆก็ต้องการให้กรรมดีที่ทำในปัจจุบันแซงหน้าบัญชีกรรมเก่า และแช่งให้กรรมชั่วที่คนอื่นทำในปัจจุบันรีบตามทันเร็วๆ พอไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ก็ตัดพ้อต่อว่า หาว่ากฎแห่งกรรมไม่มีจริงบ้าง หาว่าทำดีไม่ได้ดีบ้าง ทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยพิจารณาถึงความเลวของตัวเองและความดีของคนอื่นเป็นองค์ประกอบเลย
ที่ว่าคนเลวบางคนกลับได้ดีนั้นก็เช่นกัน ส่วนใหญ่ที่ว่าได้ดีก็คือรวย แต่ความรวยนั้นไม่ใช่ความสุข คนบางคนอาจรวยแต่ไม่มีความสุขก็ได้ จะเอาอะไรเป็นตัววัดว่าคนๆนี้เป็นคนดีจริง? ถ้าจะพูดโดยกว้างๆ คนดีก็คือคนที่ไม่ทำร้ายตัวเองและคนอื่น รวมถึงการลงมือช่วยคนอื่นเมื่อมีโอกาส ตัววัดที่เหมาะสมในขั้นต้นก็คือศีลนั่นเอง ถ้าบุคคลใดเริ่มต้นจากศีล 5 ได้ และดำเนินชีวิตภายใต้พรหมวิหาร 4 ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ธรรมอันดีงามต่างๆจะตามมาปรากฏให้เห็นได้ในภายหลัง (เรื่องพรหมวิหาร 4 ถ้ามีโอกาสจะเขียนในโอกาสต่อไป) อย่างไรก็ตาม ต่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนดีหรือคนเลวจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียว ที่จะเห็นผลกรรมอย่างเต็มน้ำเต็มเนื้อภายในชาตินั้นๆ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าปัจจัยต่างๆ ต้องใช้เวลาในการจัดล่วงหน้าพอสมควร และเนื่องจากกฎแห่งกรรมนั้นก็ตกอยู่ภายใต้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน จึงไม่แน่ว่ากรรมที่ทำในชาตินี้จะส่งผลให้เห็นในชาตินี้เลยหรือยังไม่เห็นเต็มน้ำเต็มเนื้อซะทีเดียว คนเราจึงต้องทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุดอย่างน้อยเพื่อจะช่วยบั่นทอนกรรมชั่วที่ผ่านมา แต่กรรมดีจะส่งผลเมื่อไหร่นั้น ไม่แน่นอน และไม่ใช่เรื่องที่ใครจะสามารถกำหนดได้
สรุปหัวข้อนี้ให้สั้นที่สุดก็คือ เราไม่ต้องไปสนใจคนอื่นว่าเขาได้ดีได้เลวเหมาะสมหรือขัดกับตัวเขาอย่างไรเพราะเรื่องของกรรมนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้งเกินกว่าที่จะมาคาดคะเนกันเล่นตามใจอยาก แต่ในที่สุดแล้วขอให้สบายใจได้ว่าสิ่งที่เกิดกับสิ่งมีชีวิตที่มีจิตทุกดวงนั้น เหมาะสมกับจิตดวงนั้นๆ ที่สุดแล้ว
(ขอให้อ่าน เปรียบเทียบปิดท้ายเพิ่มเติม)
10) ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับและหลังความตาย
ชาวไทยมีความเชื่อเกี่ยวกับความตายและชีวิตหลังความตายหลายอย่างแต่ที่น่าเสียดายก็คือความเข้าใจเหล่านี้มักเป็นความเชื่อนอกพุทธศาสนา ไม่ใช่ความรู้ที่ถูกต้องตามหลักพุทธะที่แท้จริง ความเข้าใจที่มักเชื่อกันว่าเรามีตัวตนอยู่อีกหนึ่งภายในตัวเรา เมื่อเราตาย ตัวตนคือ 'เรา' นี้ก็ล่องลอยไปหาที่อื่นอยู่นี่เป็นความเข้าใจผิดสุดโต่งทางที่หนึ่งในอีกด้านหนึ่ง ความเข้าใจที่คิดว่าตายแล้วสูญ ตายแล้วจบกันก็เป็นความเข้าใจที่ผิดสุดโต่งอีกข้างหนึ่ง ที่ผิดก็เพราะว่าจิตเป็นของเกิดดับรวดเร็วมากไม่ได้มีตัวตนถาวรอยู่ที่ไหน จิตที่เกิดใหม่ ทั้งในภพเดียวกันหรือข้ามภพ คือหลังตายนั้น ไม่ใช่จิตดวงเดิม แต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากจิตที่ดับไปก่อนหน้า เมื่อตายแล้วจิตดวงใหม่ก็ไปสร้างภพสร้างชาติในภพใหม่ทันที ในอีกด้านหนึ่ง ตายแล้วไม่สูญไปเฉยๆแน่นอน เพราะตัวเหตุปัจจัยที่นำ 'เรา' มาเกิดในชาตินี้คืออวิชชายังคงอยู่ จิตที่ไปเกาะในภพใหม่นั้นจะไปเกิดตามอารมณ์ของจิตก่อนเสียชีวิตซึ่งเราจะไม่สามารถไปควบคุมได้แต่จิตเขาเลือกอารมณ์ของเขาเองตามกรรมและความเคยชิน ถ้าเป็นอารมณ์ อกุศลก็ไปทุกขติ ถ้าเป็นอารทณ์กุศลก็ไปสุขติ อย่างนี้เป็นต้นสำหรับคนที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานจะพบความจริงที่น่ากลัวข้อหนึ่งว่าจิตของสัตว์ทั้งหลายเกาะอารมณ์ที่เป็นอกุศลตลอดวัน ถ้าปล่อยใจตามกิเลสไปเรื่อยๆ โอกาสไปเกิดในสุขติภพนั้นยากแสนยาก
11) ประโยชน์ต่อสังคมเมื่อรู้และเข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างถูกต้อง
ความเข้าใจกฏแห่งกรรมที่ถูกต้องนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสัมมาทิฐิที่ยังประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตอย่างเกินพรรณนา ทำให้คนคนหนึ่งสามารถ พัฒนาศักยภาพตนเอง และพบความสุขในชีวิตทั้งชาตินี้และชาติต่อๆไปได้ ถ้ามองในภาพกว้างการที่คนเข้าใจกฏแห่งกรรมมากขึ้นจะทำให้สังคมร่มเย็นสงบสุขขึ้นอีกเยอะทีเดียว สังคมไทยทุกวันนี้หย่อนด้วยศีลธรรมอย่างน่าใจหาย วิธีจะแก้ปัญหาต่างๆในสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอรัปชั่นไปจนถึงปัญหาการทำแท้งสามารถแก้ไขได้โดยเริ่มต้นที่การปลูกผังความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฏแห่งกรรม เนื่องจากพ่อแม่ไม่สามารถเฝ้าลูกตลอดเวลาและตำรวจก็ไม่สามารถเฝ้าโจรตลอดเวลาได้ การขยายความเข้าใจที่ถูกต้อง(สัมมาทิฐิ) ต่อจิตสำนึกของประชาชนจึงเป็นวิธีที่ลัดที่สุดและได้ผลที่สุด ในการแก้ปัญหาต่างๆ การช่วยกันเผยแพร่ความเข้าใจเรื่องกรรมที่ถูกต้องต่อ ลูก พ่อแม่ เพื่อนฯ จึงจะมีประโยชน์ทั้งต่อทั้งสังคมและสัตว์โลกอย่างสูง ผลของการที่คนแม้เพียงคนเดียวมีความรู้ที่ถูกต้องขึ้นมา ย่อมไม่หายไปไหนและจะยิ่งทำให้สังคมนั้นๆ น่าอยู่ยิ่งขึ้น ยิ่งเปอรเซ็นต์ของคนในสังคมไทยเข้าใจได้อย่างถูกต้องมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเข้าใกล้สังคมในอุดมคติมากขึ้นเท่านั้น
12) เปรียบเทียบปิดท้าย
เพื่อให้เข้าใจ กฎแห่งกรรม ได้ง่ายๆ จะขอยกสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่อย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นตัวอย่าง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก่อตั้งตั้งในปี คศ1878 โดยใช้ชื่อว่า Newton Heath LYR ถ้าเรามาดูว่าเมื่อ 127 ปีก่อนกับปีนี้ มีอะไรที่ยังเหมือนเดิมบ้าง คำตอบก็คือไม่มีเลย ทั้ง ชื่อ ผู้บริหาร นักเตะ สนาม คนเชียร์แต่ทำไมเราจึงเรียกว่าเป็นสโมสรเดิม? ทั้งนี้ ก็เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาทำไว้ตลอด 127 ปีก่อน ส่งผลให้เป็นเขาในวันนี้นี่เอง จะบอกว่า Manchester United ในวันนี้เป็นสิ่งเดียวกับเมื่อ 127 ปีก่อนก็ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรเหมือนเดิมซักอย่างเดียว แต่จะบอกว่าเป็นคนละสิ่งกันก็ไม่เชิง เพราะสิ่งที่เขาทำมันส่งผลมาถึงวันนี้โดยนัยเดียวกัน เวลาคนเราตายแล้วไปเกิดใหม่ จะบอกว่าเป็นคนเดียวกันก็ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย ทั้ง ร่างกาย รูป ความรู้สึก แต่จะบอกว่าเป็นคนละคนก็ไม่เชิงเพราะสิ่งที่เขาทำมาในอดีตนั่นแหละ จะเป็นตัวกำหนดส่งผลให้เขาไปเกิดใหม่เป็นอย่างนั้นๆ (จริงๆแล้ว ไม่ต้องพูดถึงข้ามชาติหรอก ดูภายในชาติเดียวกันนี่แหละ ตอนที่เราเด็กๆ กับตอนนี้มีอะไรเหมือนกันบ้าง?) กรรมเก่าก็เหมือนสิ่งที่ผู้บริหารชุดก่อนได้ทำไว้ จะบอกว่ามันไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะมันส่งผลถึงเราทุกวันนี้แต่จะบอกว่ามันคือทุกสิ่งก็ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัยบางอย่างเราสามารถควบคุมได้ ก็ควรทำให้ดีที่สุด การทำกรรมชั่วก็เปรียบได้กับการซื้อนักเตะฝีเท้าไม่ดีเข้าทีม การทำกรรมดีเปรียบเหมือนการซื้อนักเตะฝีเท้าดีเข้าทีม บางคนทำดีแล้วไม่เห็นผลดีก็เพราะว่า นักเตะฝีเท้าดีที่เราใส่เข้าไปในทีมยังไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก เพราะมีนักเตะฝีเท้าห่วยคอยฉุดดึงอยู่เยอะ แต่อย่าท้อ ถ้าเราหมั่นเปลี่ยนนักเตะฝีเท้าเลวออกเอา พวกดีใส่เข้าไปเรื่อยๆ ซักวันหนึ่งทีมของเราจะต้องเจิดจ้าขึ้นมาแน่นอน ในทางตรงกันข้าม บางคนที่เคยทำดีไว้เยอะก็เหมือนมีนักเตะฝีเท้าดีเต็มทีม การที่บางคนกลับมาทำชั่วในชาตินี้แล้วมองไม่เห็นผลทันทีทันใดก็เพราะนักเตะดีๆ คอยช่วยรั้งไว้ แต่ถ้ายังไม่สำนึกตัว ไม่เลิกทำชั่ว พอรู้ตัวอีกทีนักเตะฝีเท้าเลวก็เต็มทีมแล้ว นักเตะดีๆก็ออกจากทีมไปหมด พอหมดฤดูการแล้ว(ตายจากชาตินี้) ต้องตกชั้นแน่นอน(เกิดในภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์) แล้วทีนี้กว่าจะขึ้นมาใหม่ก็ยากเสียแล้ว
สรุป .......คุณยังไม่ต้องเชื่อทุกสิ่งที่อ่านในนี้...... แต่อย่างน้อย.......ขอให้ลองเข้ามาศึกษาคำสอนของ.....พระพุทธศาสนา รวมทั้ง..... กฎแห่งกรรม..... เมื่อศึกษาด้วยจิตที่เป็นกลางแล้ว.... จะเข้าใจความจริงของธรรมชาติ .....เมื่อไหร่ที่เข้าใจความจริงของธรรมชาติ......จะนึกเสียดายเวลาที่ปล่อยผ่านเลยไปก่อนเข้ามาศึกษา....... .............การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเสมือนดาบสองคม..... มีประโยชน์อนันต์สำหรับผู้มีปัญญา รู้ว่าอะไรควรไม่ควร.......แต่ก็เป็นโทษมหันต์เช่นกันสำหรับผู้ที่มีมิจฉาทิฐิ...... เพราะมนุษย์นั้นมีศักยภาพที่จะทำตั้งแต่เรื่องดีที่สุด ไปจนถึงเรื่องเลวที่สุด......ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง..... คุณต้องการสุขหรือทุกข์.....ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้ว... สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยดลบันดาลให้ สัมมาทิฐิ จงบังเกิดกับชนชาวไทยทุกคนด้วยเทอญ.................................................
----------------------------------------------------------------
'เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมีฉันนั้น ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ'
วชิราสูตรที่ ๑๐ ส. สํ. (๕๕๔)ตบ. ๑๕ : ๑๙๘-๑๙๙ ตท. ๑๕ : ๑๙๐ตอ. K.S. I : ๑๗๐

น้ำผลไม้ที่ควรดื่ม ตามกรุ๊ปเลือด

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.
คนเลือดกรุ๊ปโอ
ส่วนมากจะมีกรดในกระเพาะอาหารสูงสามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ไม่ควรกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป เพราะจะย่อยยาก เสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคอ้วน
เครื่องดื่มที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอคือ
• น้ำสับปะรด
• น้ำลูกพรุน
แต่ไม่ควรดื่มน้ำแอปเปิล น้ำส้ม น้ำกะหล่ำปลี
คนเลือดกรุ๊ปเอ
เรียกว่าตรงข้ามกับกรุ๊ปโอ แทบจะทุกอย่างเพราะเลือดกรุ๊ปนี้จะมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ
จึงเหมาะกับอาหารมังสวิรัติและควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกอาหารสำเร็จรูป เช่น
• ไส้กรอก
• แฮม
เพราะอาหารจำพวกนี้มีสารดินประสิวที่ไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร
เครื่องดื่มที่เหมาะสมกับคนเลือดกรุ๊ปเอก็คือ
• น้ำแอปพริคอต
• น้ำแคร์รอต
• น้ำเซเลอรี
• น้ำเกรปฟรุต
• น้ำสับปะรด
• น้ำมะนาว
เพราะมี วิตามินซีสูง แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้ม น้ำมะละกอและน้ำมะเขือเทศ

คนเลือดกรุ๊ปบี
เป็นกรุ๊ปเลือดที่สามารถต้านทานโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้แต่ยังมีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงควรกินอาหารจำพวก
• ผักใบเขียว
• ตับ
• ไข่
• นมไขมันต่ำ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญ
• น้ำกะหล่ำปลี
• น้ำแครนเบอร์รี่
• น้ำองุ่น
• น้ำมะละกอ
• น้ำสับปะรด
เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะ แต่ให้ระวังการดื่มน้ำมะเขือเทศ

คนเลือดกรุ๊ปเอบี
คนเลือดกรุ๊ปนี้ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารจึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีเช่น
• บร็อกโคลี่
• เชอร์รี่
• ส้มโอ
• เกรปฟรุต
• กะหล่ำปลี
• และดื่มน้ำแคร์รอต
• น้ำเซเลอรี
• น้ำแครนเบอร์รี่
• น้ำองุ่น
• และน้ำมะละกอ
เพราะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้มเพราะทำให้ย่อยยาก

Friday, July 4, 2008

วิธีคิดแบบ แยกเงินเดือนเป็น 4 ส่วน

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

กำลังใจให้กับคนทำงานในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
วิธีคิดแบบ แยกเงินเดือนเป็น 4 ส่วน
เห็นหลายๆคนกลุ้มใจ ไม่มีความสุขในการทำงาน ส่วนมากถ้าหางานใหม่กันได้ ก็ดีไป แต่ถ้าหาไม่ได้ จะทำอย่างไรในเมื่อเราต้องทำงานนั้นอยู่แล้ว
เรามีทางเลือกสองทาง
1. คือ...ทำงานไปอย่างไม่มีความสุข
2. หาวิธีทำงานไปอย่างมีความสุข หรือ ทุกข์น้อยลง

เรามาเปลี่ยนวิธีคิดกันดูซะหน่อย...เผื่อว่าเราจะได้ทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น และทุกข์ก็น้อยลง
*** คิดซะว่า...ถ้าได้เงินเดือนมา ให้แยกเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน และเงินแต่ละส่วน...บริษัทเขาจ้างให้เรามาทำงานตามแบบฉบับนี้
1. เงินเดือนส่วนแรก เขาจ้างมาให้คุณรับฟังคำตำหนิ ต่อว่า ทนกับอารมณ์ของเจ้านาย
2. เงินเดือนส่วนที่สอง เขาจ้างมาให้คุณรับฟังคำตำหนิ ต่อว่า ความจุกจิก งี่เง่า ของลูกค้า
3. เงินเดือนส่วนที่สาม เขาจ้างมาให้คุณ รับฟังการติฉิน นินทา อิจฉา ริษยา งี่เง่า กักขระ ของเพื่อนร่วมงานบางคน
4. เงินส่วนที่ 4 นี้เอง ที่เป็นเงินเดือน ที่เขาจ้างมาทำงานในหน้าที่ที่คุณรับผิดชอบ ดังนั้น ถ้าเจอปัญหาเจ้านาย
ให้ลองคิดดูว่า ให้ลดเงินเดือนตัวเอง 25% แล้วเจ้านายไม่บ่นว่า น่ะเอาไหม?? ให้ลดเงินเดือนตัวเอง 25% ให้เจอลูกค้าแสนดี น่ะเอาไหม??
ให้ลดเงินเดือนตัวเอง 25% ให้เจอแต่เพื่อนร่วมงานดีๆ น่ะเอาไหม?? ลดไปลดมา ได้ทุกอย่างดีหมด แต่เงินเหลืออยู่แค่ 25% ของเงินเดือนปัจจุบัน คุณเอาไหม ??
ลองใช้วิธีคิดแบบนี้นะครับ เผลอๆหลายคนอาจจะบอกว่า " อย่างนี้ให้เจ้านายด่าเพิ่มสองเท่า แล้วขึ้นเงินเดือนให้ 25% ก็เอานะ" " จิต" และ ความคิดคนเราเป็นเรื่องสำคัญนะครับ " อย่าปล่อยเวลาในชีวิตให้ความคิดของคุณเป็นลบ หรือคิดแต่ในแง่ร้าย "
ถ้าเรากำจัดความโกรธในจิตใจตนเองลงไปได้ เราก็จะทำงานได้อย่างมีความสุข
อย่าลืม!! ยิ้มเข้าไว้ ช่วยคุณได้นะ......

Friday, June 27, 2008

Chok Dee growth up...10 weeks ready.


Chok Dee ... What you doing ?

Krun .....Chok Dee ... Come on ... ( :

Chok Dee 10 Weeks ..... More Big ...Eat a lot ....




TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

ผู้ชายคนหนึ่ง อยากแต่งงาน

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.
ผู้ชายคนหนึ่ง อยากแต่งงาน
แต่ไม่รู้จะเลือกใครดีระหว่างผู้หญิง 3 คน
เขาเลยให้ของขวัญทั้ง 3 คน เป็นเงินสดคนละ 5,000 เหรียญ แล้วดูว่าแต่ละคนจะทำอะไรกับเงินที่ให้ไป

คนแรก เอาไปใช้เรื่องแต่งตัวหมดเลย เธอเข้าร้านเสริมสวยทำผมใหม่ แต่งหน้าใหม่ ซื้อชุดสวยๆ ใหม่ใส่
เธอบอกเขาว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่ออยากสวยสำหรับ! เขา เพราะเธอรักเขามาก
เขาประทับใจเธอมาก
สาวคนที่สอง ไปซื้อของใช้ผู้ชายให้เขา เธอซื้อไม้กอล์ฟใหม่ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และเสื้อผ้าแพงๆ ให้เขา
ตอนเธอให้ของขวัญเขาเธอบอกว่าเธอใช้เงินทั้งหมดเพื่อเขาคนเดียว เพราะเธอรักเขา
เขาก็ประทับใจอีก
คนที่สาม เอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น ได้เงินมาหลายเท่า เธอคืนเงิน 5,000 เหรียญแก่เขา และลงทุนต่อโดยใช้ชื่อร่วม
เธอบอกเขาว่าเธออยากเก็บเงินไว้เพื่ออนาคตสำหรับเธอและเขา เพราะเธอรักเขามาก
เขาประทับใจเป็นที่สุด
ชายหนุ่มคิดอยู่นานเกี่ยวกับวิธีใช้เงินของผู้หญิงแต่ละคน
.....
.....
และแล้ว
.....
.....
เขาก็แต่งงานกับคนที่นมใหญ่ที่สุด
.....
.....
ผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ รู้ไว้ซะ
ถ้าคุณไม่ส่งเมลนี้ต่อไปให้เพื่อนอีก 5 คนทันที จะมีคนหัวเราะน้อยลง 5 คน
(หมายความว่าถ้าส่งไปจะต้องมีคนหัวเราะแน่ เพราะฉะนั้นรีบส่งซะ)

Thursday, June 26, 2008

BROWN RECLUSE SPIDER

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

Just wanted to reminde you to wear your gloves when working outside this year

THIS GUY WAS BITTEN BY A SPIDER LIKE THIS IN ONTARIO 2 YEARS AGO AND IT LITERALLY EATS YOU AWAY SO BE WARNED THEY ARE HERE

If you don't look at but one picture, be sure you take a look at the last one so that you will know what the spider looks like! It's springtime & cleanup is going on. Be careful where you put your hands. They like dark spaces & woodpiles. This guy was bitten by a Brown Recluse spider.



Day 3

The following illustrates the progression of a brown recluse spider bite. The affected skin actually dies on his body!






Day 5

Some of the pictures towards the end are pretty nasty, but take a look at the last one - it is a picture of the spider itself.

Day 6

The Brown Recluse Spider is the most dangerous spider that we have in the USA & CANADA


Day 9


A person can die from it's bite. We all should know what the spider looks like



Day 10



Send this around to people you love, because it is almost summertime. People will be digging around, doing yard work, spring cleaning, and sometimes in their attics.





The Dangerous Brown Recluse SpiderPlease be careful. Spider bites are dangerous and can have permanent and highly negative consequences. They like the darkness and tend to live in storage sheds or other areas that might not be frequented by people or light. If you have a need to be in your attic, go up there and turn on a light and leave it on for about 30 minutes before you go in to do your work!

Thursday, May 22, 2008

Chok Dee growth up...8 weeks ready.


TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.
Chok Dee have 2 month old, Last two week ago very bad for him. He got sick ... take medicine a lot. He very well now .... Doctor tell us look him " Hi-per " none stop ...run and run. Very fun Dog.

Thursday, April 24, 2008

สำหรับคนมีลูกสาว ....

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

สำหรับคนมีลูกสาว!
ความลับกับลูกสาว ในค่ำคืนนึง... หลังจากกราบพระกับคุณพ่อ คุณแม่แล้ว คุณพ่อเรียกลูกเข้าไปพบ
แล้วบอกลูกว่า พ่อมีอะไรให้ดูซึ่งสำคัญมาก ว่าแล้วคุณพ่อก็หยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อ เอามือกำไว้
พ่อถามว่าอยากรู้มั้ยว่ามีอะไรในมือพ่อ ลูกพยักหน้า ถ้าอยากรู้ต้องเอามือเขกพื้น 3 ที ลูกทำตาม...
คุณพ่อว่า ไม่พอ ต้อง 5 ที และ เปลี่ยนเป็น 10 ที จนถึง 15 ที
จนลูกอุทธรณ์...ก็ลูกอยากทราบนี่คะว่าเป็นอะไร เมื่อคุณพ่อแบมือออก มันคือเหรียญ 5 บาทธรรมดานี่เอง
คุณพ่อหัวเราะแล้วกำมือกับเหรียญ 5 บาทเดิม
ถามว่าอยากดูอีกมั้ย ถ้าอยากดูต้องเขกพื้น 10 ที ลูกว่า หนูรู้แล้วไม่อยากดูค่ะ คุณพ่อว่า เอ้า... เขกพื้น 1 ทีก็ได้
ลูกก็บอกว่าทราบแล้วไม่อยากดูอีก เบื่อ คุณพ่อว่าให้ดูฟรีๆก็ได้แล้วก็แบมือออก ลูกก็ดูไปอย่างนั้นเอง
คุณพ่อเลยสอนว่า นี่ละลูก อะไรที่เป็นความลับ คนมักยอมทำทุกอย่างที่จะได้สมปรารถนา อยากดู อยากรู้ อยากเห็น แต่เมื่อสมปรารถนาแล้ว
ดูบ่อยๆแล้วก็มักจะ เบื่อ ให้ดูฟรีๆ ยังไม่อยากดูเลย แล้วสิ่งที่พึงหวงแหนสำหรับลูกผู้หญิงเป็นสิ่งที่มีค่า
ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไร ไม่ต่างกับเหรียญ 5 บาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอก '
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราควรจะรักตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต สำหรับผู้ชายก็ควรจะเก็บอาการหน่อย
เพราะว่าถ้าไม่รู้จักสงบจิตสงบใจ สิ่งดีๆก็อาจจะหลุดลอยไปได้โดยง่ายนะครับ

Wednesday, April 23, 2008

" Chok Dee " New member of Pattrasethawat Home

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

Chok Dee ( Lucky ) ....very Q .every one ...very love him ... He come since last Sunday ago. Only 5 weeks old once coming. Dog pedigree " PUG " ...Good Dog. easy to take care him. We call him " Chok Dee name mean " Lucky " ...every time as we called him us will lucky too.

So ..first we want to fine PUG with female dog but not one as female. Okay .. no female. First we agree in family will to observing Price & Size ... and where have ....one we meet him ..ha ha Discount .. difficult to decline. I fill in everning that ..Ho Ho we got new member as small one. After we buy him ... many Voice to show up with him name ...many name not easy to final. I thinking ... to " Lucky " however my wife need to use Thai name ... that it !!! Lucky is " Chok Dee " .... I love is him name as very good.

Friday, April 4, 2008

Ganesh Himal




TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

Thursday, April 3, 2008

Weekend for make Kids Happy

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.




30 Mar 2008, morning we go Ganesh Museum. We would to worship Ganesh. We interesting over there too much, have many thing with Ganesh most in Thailand ...so some say look most in Asia.















Kids play Water ball at Big C & Home Pro, Hung Dong -Chiang Mai. They very fun but time so short only 10 min per round. They want to play more .... 100 Baths per time. Keep money to buy food look better na krap.

Wednesday, April 2, 2008

ไม้มงคลประจำบ้านที่ควรปลูก

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

ไม้มงคลประจำบ้าน
ทิศ...................ต้นไม่ประจำทิศ............................ความเชื่อ

ตะวันออก......................มะพร้าว กุ่ม ไผ่สีสุก ......................................โรคภัยไข้เจ็บจะไม่มากล้ำกลาย
ตะวันออกเฉียงใต้..............ยอ กระถิน .................................................ป้องกันเสนียดจัญไรและอันตราย
ใต้ .............................มะม่วง มะพลับ ตะโก ....................................ป้องกันคนอื่นมารังแก รังควาน
ตะวันตกเฉียงใต้ ...............ราชพฤกษ์ พิกุล ขนุน สะเดา ทรงบาดาล .................ป้องกันอันตรายและคนใส่ร้ายป้ายสี
ตะวันตก .......................มะขาม มะยม พุทรา ......................................ป้องกันคดีความ ทำให้ผู้อิ่นชื่นชม
ตะวันตกเฉียงเหนือ ............ส้มเขียวหวาน มะนาว มะกรูด ............................ป้องกันคนคิดร้าย
เหนือ ..........................ว่านต่าง ๆ ฝรั่ง หมากผู้หมากเมีย ..........................ป้องกันคาถาอาคม เวทมนตร์
ตะวันออกเฉียงเหนือ ...........ทุเรียน มะตูม ..............................................ป้องกันโรคระบาดที่จะเกิดขึ้น

Wednesday, March 26, 2008

บ้านเรือปราณ รีสอร์ท ( Boat House Pran Resort )



TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

คนสูงอายุสัก 50-60 ปี ผิวดำ ใส่กางเกงม่อฮ้อม เสื้อยืด เดินมาหาเรา นามว่า ลุงช้อง ( เสียดายผมไม่ได้ถ่ายรูปแกมา เนื่องจากแกอาย )ต้อนรับเราด้วยน้ำเสียงเหน่อแบบชาวเล แบบเป็นกันเอง เราจึงได้รู้ภูมิหลังของรีสอร์ทแห่งนี่ ว่าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ประมาณ 2-3 เดือน ด้วยความไฝ่ฝันของแกว่าอยากมีรีสอร์ทตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว เนื่องจากที่ดินบริเวณเป็นที่ดินกงสีของแม่แก ซึ่งได้แบ่งทำการให้ลูก 8 คน ในส่วนเท่ากัน ๆ แกจึงมาเติมฝันของแกที่เป็นจริง



โดยการเอาที่ดินไปเข้าธนาคารและนำมาทำรีสอร์ทที่แกชอบ โดยมีพี่สาวของแกซึ่งเปิดรีสอร์ทติดกันช่วยเหลือ ในด้านสถาปนิกผุ้ออกแบบ ในเวลา 1 ปี รีสอร์ทแกจึงเกือบสมบูรณ์ แต่ด้วยความที่แกเป็นชาวเลโดยกำเนิด เรียนน้อย ส่วนลูกแก 3 คนก้อไม่มีท่าที่จะสนใจในรีสอร์ทนี่ ทุกวันนี่แกจึงทำรีสอร์ทนี่คนเดียว ( ย้ำนะครับ ตั้งแต่ซื้อของเข้ารีสอร์ท ยันขนของ ทำความสะอาด รดน้ำสวน ) และด้วยเหตุนี่ แกจึงไม่มีการตลาดเข้ามาช่วยดูแล ยังผลให้รีสอร์ทแกไม่ค่อยมีกรุ้บทัวร์หรือคนรู้จักเลย ( มารู้ภายหลัง คนออกแบบสวนให้แก รู้สึกสงสาร จึงออกแบบเว็บให้แก http://www.boathousepran.com/ ซึ่งรายละเอียดก็ยังน้อยอยู่มาก ) แกมาดูสารทุกข์สุขดิบตลอดเวลา เหมือนเป็นญาติกัน นำหมึกแดดเดียว ที่แกทำไว้จากการออกเรือไดหมึก ทอดมาให้กินโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งหาได้ยากจากคนทำธุรกิจนี่ ขาดเหลืออะไร แกกุลีกุจอทำให้หมด พอตกหัวค่ำที่ได้มีโอกาสนั่งคุยกับแกจริงจัง จึงได้รู้ว่า คนพักที่แกน้อยมาก อย่างอาทิตย์ที่ผ่านมา รีสอร์ทแกมี 9 ห้อง ได้ว่างตลอดสัปดาห์ไม่มีคนมาพักเลย หรือแม้กระทั่งเสาร์ อาทิตย์ก็ตาม ทั้ง ๆ ที่เมื่อเทียบกับรีสอร์ทข้างเคียงผมว่าห้องพักแกไม่เป็นรอง เมื่อเทียบกับระดับราคา เรตห้องพักแล้วยิ่งไปกันใหญ่ซึ่งถ้าถามผมขอบอกว่าถูกมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ๆได้รับจากชาวประมงใจดีคนนึง ซึ่งหาไม่ได้ในชีวิตเมืองหลวงแต่สิ่งลุงช้องแกกังวลใตนนี่ คือ รายได้แกไม่พอในการผ่อนธนาคาร เนื่องจากลูกค้ามาพักน้อย วันธรรมดาแทบไม่มี ศุกร์ เสาร์ก็น้อย เพราะแกไม่มีการตลาดเลย แกใช้ความเป็นลูกทุ่งของแก คือการเฝ้าคอยลูกค้าขับรถผ่านหน้ารีสอร์ทแก และแวะเวียนมาถาม แกถึงจะได้ลูกค้า


ผมกับแฟนเห็นแล้วอดเห้นใจไม่ได้ จึงรับปากแกว่ากลับมา จะมาโพสต์ในเน็ท ในทุกเว็บที่เรารู้จัก ให้ลุงแกสามารถที่จะทำความฝันแกต่อไปได้ภายในห้องพัก ตกแต่งสวยงามมาก วัสดุอุปกรณ์ แต่ละอย่างแกใช้ของอย่างดี ยังคิดอยู่ว่าแกเอากำไรมาจากไหน อันนู่นแถมฟรี อันไหนก็ให้ใช้เฉย ๆ ไม่คิดตังค์ สนใจก็ติดต่อที่ ลุงช้องเองได้เลยนะครับTel : 032-630-613Mobiles : 083-1080260
ปล....ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลยนะครับ ติดต่อได้เองเลยครับที่ลุงช้อง แต่บอกไปด้วยก็ได้ครับ ว่า น้องบาส แนะนำมา แล้วคุณจะได้ไมตรีจิตและอีกหลากหลายที่ไม่ได้จากรีสอร์ทอื่นแน่นอนปล...ถ่ายด้วยกล้อง compact เก่า ๆ ยี่ห้อ pentax optio s30 ไม่รู้พอดูได้ไหม จะมี 2-3 รุปที่ยืมในเว็บแกมา ยงไงก็ช่วยกันส่งต่อก็แล้วกันนะครับ ถือว่ไดช่วยลุงช้องแก

Tuesday, March 25, 2008

ปี หนู ทอง เฮง ๆๆๆๆ ครับ

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.


ปลาหมอสี " ฮก ลก ซิ่ว " เสริมโชคลาภ และ สิริมงคล

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

เลี้ยงปลามงคลเสริมโชคลาภ


เปิดพุทธศักราชใหม่รับปีหนูมาได้ไม่นาน ว่าแล้วช่วยเสริมดวงเสริมบารมีตลอดปีกันดีกว่า แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับหนูแต่อย่างใด เป็นเรื่องปลาซึ่งปัจจุบันนิยมเลี้ยงมากขึ้น นอกจากเพลินตาเพลินใจแล้ว ยังช่วยฝึกสมาธิให้เป็นคนสุขุมเยือกเย็น และมีความเชื่อว่าช่วยเสริมโชคลาภและสิริมงคลแก่ผู้เลี้ยงด้วย
ปลามงคลที่ช่วยเสริมดวงเสริมบารมี ที่นิยมเลี้ยงมี 4 ชนิด ได้แก่ ปลาเงินปลาทอง,ปลามังกร,ปลาคาร์ฟ และ ปลาหมอสี ซึ่งอย่างหลังนิยมเลี้ยงมากกว่าชนิดอื่น เพราะเป็นปลาที่จัดอยู่ในกลุ่มลักษณะตรงตามความเชื่อในเทพเจ้าของชาวจีน “ฮก ลก ซิ่ว ” ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง สมบูรณ์ และยั่งยืน อีกทั้งโดยตัวของปลาหมอสีมีเสน่ห์ชวนหลงใหล ด้วยสีสันที่ดึงดูดใจ นิสัยรักสงบแม้จะติดความหวงแหนในอาณาเขตของตัวเองไปบ้าง แต่ก็มีความอดทนสูงเช่นกัน!วิฑูรย์ เทียนรุ่งศรี ประธานชมรมผู้นิยมปลาสวยงาม ประเทศไทย บอกว่า ปลาหมอสีมีหลายพันธุ์ แต่ที่กำลังนิยมทั้งในและต่างประเทศคือ “ปลาหมอสีครอสบรีด” เนื่องจากพัฒนาสายพันธุ์กระทั่งมีสรีระ ลวดลายและสีสันที่งดงาม หัวโหนกกลมใหญ่อันเป็นลักษณะเด่น ยิ่งใหญ่ยิ่งดี หมายถึงการมีอายุยืนยาว ทรัพย์สินมากล้น ส่วนสีของตัวปลาเป็นสีแดง หมายถึงความเป็นสิริมงคล เม็ดมุกบนตัว โดยเฉพาะบริเวณหัวหมายถึงความสว่างสดใส รุ่งเรือง อีกทั้งลวดลายบนตัวปลาหมอสีครอสบรีดหากมองดีๆแล้วจะเหมือนอักษรจีนคำว่า “ฮวด” ซึ่งหมายถึงความเจริญรุ่งเรือง ทำให้ยิ่งเป็นที่นิยมเพิ่มทวีคูณปลาหมอสีครอสบรีด มีหลายสายพันธุ์ ที่รู้จักมากหน่อยคือพันธุ์ฟลาวเวอร์ฮอน บางตัวมีตัวอักษรจีนปรากฏบนลำตัว อีกทั้งชื่อยังพ้องเสียงกับคำว่า “ดอกเหมย” หมายถึงดอกไม้สิริมงคล ส่วนคำว่า “ฮอน” หมายถึง ความมีชื่อเสียงโด่งดัง,พันธุ์กัมฟา พัฒนามาจากสายพันธุ์ฟลาวเวอร์ฮอน ลำตัวป้อมกลม หัวมีโหนกใหญ่คล้ายหยดน้ำ แก้มยุ้ย,พันธุ์ซินส์สไปรุ่ม พันธุ์นี้หน้าสั้น ลำตัวสีแดงมากและลอกสีตัวได้ นิสัยขี้เล่น และพันธุ์เท็กซัส เพราะมีหลากสี ทั้งน้ำตาลอ่อน เขียวฟ้า แดง แถมมีลายมุกเต็มตัว

เชื่อกันว่าปลาหมอสีมีความเกี่ยวพันกับหลักโหราศาสตร์ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หากโชคดีก็จะเจอตัวที่มีครบทั้ง 4 ธาตุ ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งปลาหมอสีเลยทีเดียว ตัวที่มีสัญลักษณ์ของธาตุไฟ หมายถึงความฉลาด กระตือรือร้น,ธาตุดิน คือความสุขุมไตร่ตรองถ้วนถี่,ธาตุลม คือสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์จินตนาการ และธาตุน้ำ หมายถึงการทำงานที่ว่องไว รวดเร็ว ด้านหัวของปลาหมอสีครอสบรีดที
่เป็นโหนก ยิ่งใหญ่ยิ่งเสริมบารมีช่วยเกื้อหนุนให้ผู้เลี้ยง โดยคนที่เกิดวันอาทิตย์จะเสริมด้านสติปัญญา,วันจันทร์ ช่วยป้องกันการเสื่อมเสีย,วันอังคาร ทำให้มีผู้คนรักใคร่ มีผู้หวังดี,วันพุธช่วยให้มีความมานะอดทน,วันพฤหัสบดี ช่วยเสริมความสำเร็จด้านการงาน มีโชคลาภ,วันศุกร์ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และวันเสาร์ ช่วยเสริมรายได้และทรัพย์สินให้พอกพูนนอกจากการเลี้ยงปลามงคลแล้ว

บ้านของปลาต้องมาช่วยเสริมกันและกัน ดังนั้นตู้ปลาที่ถูกหลักฮวงจุ้ยจึงมีส่วนจำเป็นเพื่อช่วยเสริมเสริมทรัพย์สินเงินทองเข้าบ้าน ควรเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแสดงถึงธาตุไม้ ช่วยเสริมเจ้าบ้านให้เจริญก้าวหน้า วางตู้ปลาในทิศธาตุน้ำของบ้าน ถ้าอยู่ในทิศที่มีประตูใหญ่จะดีเป็นพิเศษ ในตู้ต้องมีกระแสน้ำไหลเวียน หมายถึงการหมุนเวียนเงินทองไหลเข้ามาเรื่อยๆ ส่วนจำนวนปลาตามนิยมคือเลขมงคล1,4 และ9 แต่ถ้าเลี้ยงปลาหมอสีครอสบรีดควรเลี้ยงเพียงตู้ละ 1 ตัว เพราะธรรมชาติปลาชอบหวงอาณาเขต และการเลี้ยงตัวเดียวจะทำให้เห็นตัวอักษรจีนเด่นชัดขึ้น

แมลงด้วงน้ำมัน

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

แมลงด้วงน้ำมัน
(อ้างอิงข้อมูลจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์> ดร.วัฒนา อู่วาณิชย์)
Dear All

We have the alert note about Bio- Hazard; dangerous beetle
Please notify to your subordinates or everyone you care
Hazard: drop of its’ urine as a poison biosynthetic (Cantharidin, strong corrosive/severe irritant), if contact your skin; Wash-out by water, and Don’t touch to other skin zones
And see a Doctor immediately

ถ้าโดนแล้วห้ามเกาเด็ดขาดเพราะมันจะลามไปเรื่อยๆเลยหนองหรือน้ำเหลืองของเราจะทำให้จากอีกจุดเพิ่มเป็นอีกจุดรามเป็นแผลใหญ่และที่สำคัญตอนนี้แมลงนี้มีพบที่ กทม แล้ว (ปกติอยู่ในป่า และมี habitat เฉพาะที่) หากโดนกรุณาติดต่อแพทย์โดยด่วนมิฉะนั้นแผลจะลุกลามไปรวดเร็วมากแมลงชนิดน ี้จะไม่กัดหรือต่อยแต่ฉี่ของมันมีความเป็นกรดสูงมากและเป็นสาเหตุให้เกิดแผลซึ่งหากเกิดเป็นแผลแล้วเอามือไปถูกแผลนั้นให้รีบล้างมือโดยเร็วมิฉะนั้นจะเกิดแผลลุกลามไปยังที่ๆเอามือไปสัมผัสต่อไปอีก
สารพิษจากด้วงไฟเดือนห้า: แคนทาริดีน (Cantharidin)

(ข้อมูลเพิ่มเติมจาก ศุนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อและพาหะนำโรค)

ด้วงน้ำมัน ชื่อท้องถิ่น : ด้วงไฟเดือนห้า ด้วงโสน แมลงอึ่มไฮ้
เป็นแมลงปีกแข็ง ที่มีลำตัวยาวประมาณ 3 - 5 เซนติเมตร ลำตัวมีสีดำ มีแถบเหลืองบนปีก 3 แถบพาดขวางลำตัว เมื่อถูกรบกวนก็จะขับสารพิษที่เรียกว่า แคนทาริดิน ออกมาทันที แคนทาริเป็นสารพิษมีฤทธิ์ทำลายระบบการทำงานของไตและอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการเซื่องซึม ปวดท้องรุนแรง อาเจียน ปัสสาวะเป็นเลือด ช็อกหมดสติ และตายในที่สุด ด้วงน้ำมันอาศัยอยู่ตามต้นแคที่ชาวบ้านใช้ดอกมาทำแกงส้ม ด้วงน้ำมันมีลักษณะคล้ายคลึงกับแมงมาลี ซึ่งเป็นด้วงที่กินได้ ลำตัวมีสีดำ ปีกคู่หน้า 2 ปีกเป็นสีดำ มีแถบเหลือง 1 แถบคั่นกลาง มีหนอดยาวและใหญ่กว่าหนวดของด้วงน้ำมันส่วนโค้งเป็นสีดำ และส่วนปลายเป็นสีเหลือง

อันตรายของด้วงน้ำมัน พ.ศ. 2538 ข่าวกินแมลงตายที่จังหวัดพัทลุง ด้วยเชื่อว่าเป็นยารักษาโรค และยาบำรุงกำลัง พ.ศ. 2532 มีรายงานการเสียชีวิตและป่วยหนักที่จังหวัดลำปาง และ จังหวัดมหาสารคาม เนื่องจากกินแมลงด้วงน้ำมัน กองพิษวิทยาและกองกีฏวิทยาทางแพทย์จึงได้ร่วมกันตรวจวิเคราะห์แมลงและสารพิษ พบสารแคนทาริดินประมาณ 6 มิลลิกรัมต่อแมลง 1 ตัว สารแคนทาริดินนี้ถ้าได้รับเข้าไปในร่างกายในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดอาการพิษได้ และถ้าได้รับในปริมาณ 10 มิลลิกรัมก็จะทำให้เสียชีวติได้ อาการพิษของสารนี้ถ้าสัมผัสถูกผิวจะทำให้เกิดการระคายเคือง เป็นตุ้มน้ำ พอง ถ้าหากรับประทานเข้าไปจะทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหารอย่างรุมแรง คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด ปวดท้องอย่างรุนแรง ท้องร่วง ปัสสาวะเป็นเลือด อาจทำให้ถึงตายได้ พ.ศ. 2539 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร ได้ส่งตัวอย่างแมลงที่มีผู้รับประทานแล้ว 2 คน เกิดพิษและถึงตายได้ เพื่อตรวจสอบชนิดแมลงปรากฏว่าเป็นด้วงน้ำมัน พ.ศ. 2540 มีข่าวกินแมลงตายที่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้ผู้ป่วยรับประทานผงถ่าน แล้วรีบนำมาส่งแพทย์ ถ้าผู้ป่วยหมดสติให้รีบนำส่งแพทย์

การป้องกันอันตรายจากการรับประทานแมลง


ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแมลงที่ไม่ทราบชนิด หรือสงสัยว่าเป็นด้วงน้ำมัน

แผนที่ความพอเพียง

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.


แผนที่ความพอเพียง
โดย กาญจนา หงษ์ทอง

นาทีนี้ใครๆ ก็พูดคำว่า "พอเพียง" กันอย่างพร่ำเพรื่อ แต่จะมีซักกี่คนที่รู้ถึงความหมายและเข้าถึงแก่นของคำๆ นี้อย่างแท้จริง และจะมีกี่คนที่เข้าใจความพอเพียงอย่างลุ่มลึก
บางคนก็เข้าใจผิดว่า พอเพียง คือต้องไม่ใช้เงิน อยู่อย่างสมถะ
บางคนก็สนองนโยบายด้วยการประหยัดท่าเดียว นึกถึงแต่เรื่องเก็บออม
ส่วนอีกหลายคน ปากก็พูดปาวๆ ว่าฉันนะใช้ชีวิตอย่างพอเพียง แต่ก็ยังช้อปมือเป็นระวิง อะไรอินเทรนด์ฉันต้องเป็นเจ้าของไว้ก่อน และยังระดมเปิดแอร์ เปิดทีวี เปิดไฟ อย่างไม่สะทกสะท้านต่อข่าวราคาน้ำมันที่กำลังพุ่งขยับไม่หยุด
เพื่อความกระจ่างในเรื่องของการใช้ชีวิตในแบบพอเพียง Fundamentals ฉบับนี้ทำ "แผนที่ความพอเพียง" ให้คนที่ชอบพูดคำว่าพอเพียงจนติดปาก ได้รีวิวชีวิตที่พอเพียงกันอีกครั้ง
******
พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี-ไม่สร้างหนี้โดยไม่จำเป็น
เป็นข่าวดีที่เวบไซต์ Google เผยแพร่ข้อมูลว่าในรอบปี 2550 ที่ผ่านมา คนไทยค้นหาข้อมูลจากเวบไซต์นี้เป็นจำนวนมาก และคำที่มีคนเสิร์ชหาข้อมูลมากที่สุดคือคำว่า "พอเพียง"
นั่นแปลว่ากระแสความสนใจของผู้คน ในการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งแทรกและซึมเข้าไปอยู่ในกลางใจ
ก็มีทั้งพอเพียงกันไปเกาะกระแส พอเพียงตามแฟชั่น พอเพียงอย่างพอดี พอเพียงจนเข้าเส้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในพวกไหน Fundamentals ขอหยิบ "แผนที่ความพอเพียง" มารีวิว ว่าพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวันแบบไหนกันแน่ ที่จะเรียกว่า พอเพียง อย่างแท้จริง

O พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี

ไม่มีใครมีชีวิตที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ คุณอาจจะมีเงินน้อยกว่าเพื่อนๆ อีกหลายคน อยู่บ้านหลังเล็กกว่าคนอื่น แต่มีความอบอุ่นภายในครอบครัวจนหลายคนอิจฉา คุณอาจจะได้กำไรจากการลงทุนในตราสารหนี้แค่ 3-4% ขณะที่เพื่อนได้ผลตอบแทนจากตลาดหุ้น 15% คุณอาจจะขับรถโตโยต้ามือสอง แต่เพื่อนขับบีเอ็มดับเบิลยู คุณอาจจะใช้ทีวีรุ่นเก่า แต่คนข้างบ้านดูทีวีจอแบนเครื่องเบ้อเริ่ม
คุณคงอยู่อย่างหาความสุขได้ยาก ถ้าวันๆ มัวแต่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีซะอย่าง ภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ นั่นแหละคุณก็จะสัมผัสกับความสุขอย่างแท้จริง
ว่ากันว่า แก่นแท้ของชีวิตพอเพียง เริ่มจากการพอใจในสิ่งที่เป็นและมีอยู่ รู้จักประมาณตน รู้จักคำว่าพอ รู้จักสถานะตัวเอง เพราะถ้าปล่อยให้เกินพอ จะทำให้มีความทุกข์และลำบาก
การพอใจในสิ่งที่เป็นและมีอยู่ เริ่มจากมองเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัว แล้วขยายวงสู่เรื่องใหญ่ๆ ระดับชาติ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่แก่งแย่ง ไม่แข่งขัน เพียงช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
"คนเราถ้าคาดหวังอย่างไม่จบสิ้น ก็เป็นเหมือนคนจนที่น่าสงสาร ความพอเป็นสิ่งที่จำเป็น คนที่รู้จักพอ จะเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต" ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เคยกล่าวไว้
สาวสวยอีกคนหนึ่งที่ใส่ใจการใช้ชีวิตที่พอเพียง คือ "วรัทยา นิลคูหา" เธอเล่าว่า อาจจะได้รับการบ่มเพาะที่ดีมาจากพ่อแม่ของเธอนั่นเอง พ่อแม่ไม่เคยสอนให้ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ในเวลาเดียวกัน ก็ไม่เคยปลูกฝังว่าจะต้องร่ำรวยล้นฟ้า หรือต้องทะเยอทะยาน ครอบครัวของเธอใช้ชีวิตอย่างสันโดษ สมถะ โดยเฉพาะแม่ของเธอนั้น เธอเล่าว่าเป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่แต่งตัว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพฤติกรรมของพ่อแม่ตรงนี้นี่เอง ที่ทำให้เธอตระหนักถึงการใช้ชีวิตที่พอดีและพอเพียง
"จุ๋ยเองแต่ก่อนก็ผ่านการใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยในแบบวัยรุ่นมาเหมือนกัน อยากได้อะไรก็ซื้อเลย ของบางอย่างซื้อแล้วซื้ออีก ซ้ำบ้าง แพงบ้าง ไม่ได้ใช้บ้าง ตอนเด็กๆ ไม่เข้าใจเรื่องการอดออม แต่พอเราโต ทำงานเอง คราวนี้เข้าใจแล้วว่าเงินหายากแค่ไหน คราวนี้จะไม่ซื้ออะไรเพิ่มถ้าของเดิมยังใช้ไม่หมด"
ส่วนแป้ง "อรจิรา แหลมวิไล" ก็เป็นนางเอกอีกคนหนึ่งที่พยายามใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เธอบอกว่าไม่ว่าจะใช้จ่ายอะไร คนเราต้องดูตัวเองก่อน ว่าตัวเรามีรายได้แค่ไหน บางคนซื้อกระเป๋าใบละ 2-3 แสนบาทได้ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องทำตามอย่างเขา เราต้องใช้จ่ายตามฐานะที่เรามี บางคนมีน้อยแต่ใช้เยอะ เกินตัว สำหรับอรจิรา เธอยึดหลักว่าใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของเรา
"แม้กระทั่งเรื่องซื้อคอนโด ก่อนแป้งจะซื้อคอนโดทุกครั้ง ยังคำนวณดูเลยว่าเรามีศักยภาพในการผ่อนชำระแค่ไหน ไม่ใช่ว่าดาวน์ไปก่อน แต่ผ่อนไม่ไหว หนักเกินไปแบบนี้ก็ไม่เอา ทุกอย่างต้องคิดหน้าคิดหลัง และให้พอดี"

O ไม่สร้างหนี้โดยไม่จำเป็น

คำว่าพอเพียง ไม่ใช่เป็นหนี้ไม่ได้ หรือเป็นหนี้แล้วผิดคอนเซปต์ คุณเป็นหนี้ได้ แต่ต้องเป็นหนี้ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทางการเงิน เช่น หนี้ที่เกิดจากการกู้ซื้อบ้าน หรือหนี้ที่เกิดจากความจำเป็น ไม่ใช่หนี้ที่เกิดจากการปรนเปรอความอยากและความสะดวกสบายของตัวเอง
องค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างสงบสุขคือ ต้องเป็นชีวิตที่ปลอดหนี้ และเพราะการไม่มีหนี้ทำให้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข จะเห็นว่าบางคนหรือบางครอบครัวพอมีเรื่องหนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีก็ถึงกับบ้านแตก
"พอพูดถึงชีวิตที่พอเพียง คนก็มักจะคิดว่า ต้องไม่เป็นหนี้ ต้องไม่ใช้เงิน ที่จริงถ้าเราเป็นหนี้เพราะจะเอาเงินมาขยายธุรกิจ และมองเห็นว่าธุรกิจมีศักยภาพ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะเป็นหนี้ แต่ถ้าเราเป็นหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต รูดบัตรซื้อนั่นซื้อนี่อย่างไม่รู้สึกอะไร แบบนี้ ไม่ใช่ชีวิตที่พอเพียงแน่ " อานันทวีป ชยางกูร ณ อยุธยา ให้ทัศนะ

O เค้นสติ&คิดก่อนจ่าย

ถ้าที่ผ่านมา คุณใช้ชีวิตแบบนึกจะซื้อก็ควัก นึกอยากได้ก็จ่าย นึกชอบก็ช้อปเลย ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นเล็กหรือของชิ้นใหญ่ ต่อจากนี้ ถ้าอยากเปลี่ยนมาใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ทุกครั้งที่จะจ่ายขอให้เค้นสติ คิดหน้าคิดหลังทุกครั้งก่อนเปิดกระเป๋าสตางค์ หรือก่อนจะหยิบบัตรเครดิตขึ้นมารูด
ลองสำรวจตัวเองดูสิ ว่าที่ผ่านมาในแต่ละเดือน คุณมีค่าใช้จ่ายอะไรเท่าไหร่ ถ้านั่งลิสต์ออกมาหรือเอาสเตทเมนท์บัตรเครดิตมาดู คุณอาจจะพบว่ามีรายการใช้จ่ายไม่จำเป็น หรือประเภทของฟุ่มเฟือย เสื้อผ้า เครื่องประดับเยอะแยะเลย
คำว่า "รางวัลชีวิต” มักจะถูกหยิบมาเป็นข้ออ้างเวลาอยากได้ข้าวของเสมอ ลองกลับไปสำรวจดูที่บ้าน คุณอาจจะพบว่า รางวัลชีวิตของคุณเยอะไปหมด หรือเพราะว่าคุณให้รางวัลชีวิตแก่ตัวเองพร่ำเพรื่อจนเกินไป
ที่จริง ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปผูกติดกับคำว่าพอเพียง หรือต้องรอให้น้ำมันแพง เงินเฟ้อพุ่ง คุณถึงจะใช้เงินอย่างมีสติ แต่ให้ชีวิตในทุกๆ วันของคุณดำเนินไปอย่างมีสติ ชั่งน้ำหนักและถามหาความคุ้มค่าทุกครั้งก่อนใช้จ่าย คุณก็จะพบว่า คำว่า พอเพียง ติดอยู่ในสายเลือดไปเอง

O อยู่สบายๆ ไม่ประหยัดแต่ไม่ฟุ่มเฟือย

อยู่สบายๆ ไม่ใช่นึกอยากทำอะไรก็ทำ อยากกินอะไรก็ต้องได้กิน อยากได้ก็อะไรก็ต้องได้ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่า คุณต้องเคร่งครัดในการดำเนินชีวิตอยู่ตลอดเวลา ไม่กิน ไม่ใช้ ไม่เที่ยว ไม่สังสรรค์ ไม่ซื้อ
อยู่สบายๆ ใช้ชีวิตแบบพอดีๆ เดินบนทางสายกลาง ซื้อของบ้าง กินใช้บ้าง ไม่ใช่ประหยัดรัดติ้วอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็ไม่ฟุ่มเฟือยเป็นนิสัย
วิธีหนึ่งที่จะใช้ชีวิตอย่างสบายๆ คือ กลับสู่ธรรมชาติบ้าง ถ้าที่ผ่านมาคุณเอาแต่ใช้ชีวิตฟู่ฟ่าอยู่ในสังคมเมือง ท่ามกลางเสียงโหวกเหวก ความโดดเดี่ยว ต่างคนต่างทำหน้าที่ ขวนขวายแก่งแย่งได้มาแทบบ้าตาย ก็ลองกลับคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด หรือลองวิ่งเข้าหาธรรมชาติดูบ้าง คุณอาจได้แรงบันดาลใจดีๆ ในการดำเนินชีวิตมากขึ้น
วิถีชีวิตสบายๆ และพอเพียง ที่ใกล้ตัวอีกอย่างหนึ่งคือ กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน บางคนมีความสุขกับการได้กินของแพง กินของนอก ทั้งที่รสชาติและคุณค่าไม่ได้แตกต่างกัน ทำไมไม่ลองปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นกินแค่พออิ่ม แต่ครบถ้วนไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่จำเป็นในชีวิต บริโภคอย่างพอเพียง เพื่อให้ชีวิตอยู่ได้อย่างเพียงพอ เพราะของแพงไม่ได้แปลว่าอร่อย ภัตตาคารหรูไม่ได้แปลว่าสะอาดกว่าฝีมือการทำอาหารของคุณเอง
หรืออย่างบางคนบอกว่าใช้ชีวิตสบายๆ ก็ติดปลายนวมไว้ด้วยความหรู หลายคนมีรถยนต์ไว้ใช้งานจริงๆ แต่ก็มีอีกหลายคนมีรถยนต์เป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ประดับบารมี ทั้งที่จริงประโยชน์ของรถก็แค่ส่งเราถึงที่หมายในแต่ละวัน แต่สิ่งที่ต้องแลกคือน้ำมันราคาแพง
ง่ายและใกล้อีกอย่างหนึ่ง ก็คงเป็นเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ของเราๆ ท่านๆ นี่แหละ ไม่จำเป็นต้องอัพเทรนด์เสื้อผ้าไม่ให้ตกเทรนด์อยู่ตลอดเวลาก็ได้ ลองหยิบจับเสื้อผ้าที่มีอยู่ในตู้มารีไซเคิล แล้วมิกซ์แอนด์แมทช์
หรืออาจจะใช้วิธีหยิบของเก่ามาเล่าใหม่ เพราะเดี๋ยวนี้แฟชั่นมักจะหมุนเวียนวนไปวนมา ข้อสำคัญ ไม่จำเป็นต้องใช้ของแบรนด์เนมหรือของมียี่ห้ออยู่ตลอดเวลาก็ได้ แต่ขอให้นึกถึงความคุ้มค่า คุณภาพและประโยชน์การใช้สอยเป็นหลัก จะมียี่ห้อหรือไม่มีก็ไม่ใช่ปัญหา
ใช้ชีวิตแบบสบายๆ พอดีและพอเพียง อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คนที่ปล่อยให้ชีวิตเคลื่อนไหลไปตามกระแสวัตถุนิยม ขอแค่คุณใช้ความพยายาม ตัดอกตัดใจจากวัตถุ ตั้งลิมิตให้ความอยาก ไม่ต้องอยากได้อยากมีตามชาวบ้านไปซะทุกเรื่องทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแพงๆ เท่านี้ก็สนิทสนมกับคำว่าพอเพียงได้ไม่ยาก

O ออมอย่างพอดี

เป็นเรื่องดี ถ้าคุณตั้งใจออมเงินเพื่ออนาคตอันแสนสุข แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ออมเงินอย่างพอดี ทุกวันนี้ก็มีทั้งประเภทที่ตึงเกินไปและหย่อนเกินไปให้พบเห็น
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตั้งหน้าตั้งตาอดออมอย่างเอาเป็นเอาตาย ออมอย่างเอวคิดเอวกิ่ว จะกินจะใช้อะไร หรือให้รางวัลชีวิตด้วยการท่องเที่ยว ก็นึกเสียดายเงินทองไปหมด มุ่งมั่นหักโหมออม กะจะเก็บไว้ใช้ตอนบั้นปลายของชีวิต เพราะไม่อยากอยู่อย่างลำบากตอนแก่ บ้างก็สะสมเงินทองไว้ให้ลูกหลาน เพราะกลัวพวกเขาจะลำบาก บ้างก็ใช้เงินทองและทรัพย์สินที่มีอยู่เป็นดัชนีวัดความสำเร็จ พวกเขาจึงมุ่งมั่นเก็บจนบางทีก็เกินความพอดี
อีกประเภทหนึ่งซึ่งเยอะกว่าพวกแรก คือใช้ชีวิตหย่อนยานจนเกินเหตุ พวกนี้ก็จะไม่เคยมีเงินออมเอาไว้ให้อุ่นใจ มาแนวนี้ก็จะตั้งท่าใช้เงินลูกเดียว ไม่รู้จักเก็บออมเพื่ออนาคต
จะเห็นว่าทั้ง 2 กลุ่ม ล้วนมีความไม่พอดี และไม่พอเพียง ด้วยกันทั้งสิ้น ออมให้พอดีไม่ใช่เรื่องยาก แค่คุณจัดสรรรายได้ส่วนหนึ่งอย่างสม่ำเสมอ ในระดับที่ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดหรือหลวมจนเกินไป จะออม 10% 20% หรือ 30% ตรงไหนคือความพอดี คุณเองนั่นแหละที่ตอบได้ดีที่สุดว่าจุดแห่งความพอดีของการออมอยู่ตรงไหน

O ลงทุนก็พอเพียงได้

ในแง่มุมของการลงทุนนั้น แน่นอนว่าเมื่อคนลงทุน ทุกคนล้วนอยากได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดด้วยกันทั้งนั้น นั่นจึงเป็นเรื่องที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า คงจะถามหาความพอเพียงได้ยากสำหรับการลงทุน
หากแต่ในความจริง การลงทุนแบบพอเพียงก็สามารถทำได้อย่างไม่ยาก แค่รู้จักคำว่า ”พอ” จากการลงทุน โละทิ้งคำว่าโลภออกจากสนามการลงทุนของคุณ คุณก็ลงทุนได้อย่างไม่เป็นทุกข์และลงทุนอย่างพอเพียงได้
อันดับแรก คุณควรจะเลือกลงทุนในช่องทางที่สามารถรับความเสี่ยงได้ และมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่พอดี ไม่ต้องหวือหวามากจนเกินไป แต่ก็สามารถทำให้เส้นทางการลงทุนเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะถ้าโลภมากอยากได้ผลตอบแทนสูงลิ่ว นั่นเท่ากับต้องแบกความเสี่ยงสูงตามสูตรการลงทุน
เช่นสมมติคุณมีเงินลงทุนก้อนย่อมๆ อยู่ประมาณ 5 แสนบาท แทนที่จะกระโจนเข้าไปเล่นหุ้นปั่นในตลาดหุ้น เพราะรู้ว่าถ้าจังหวะดีโชคเข้าข้าง คุณอาจจะได้ผลตอบแทนจากหุ้นปั่นตัวนั้นภายในระยะเวลาสั้นๆ ถึง 30% แต่อาจจะเลือกเดินทางสายกลาง ด้วยการลงทุนหุ้นพื้นฐานดีซักตัวที่อาจจะได้ผลตอบแทนเหลือซัก 10% แต่ความเสี่ยงก็ลดน้อยลงไป ไม่ต้องนั่งลุ้นนั่งเครียด หรือแบกความกังวลไว้ตลอดเวลา หรือถ้าไม่อยากเข้าไปเสี่ยงในตลาดหุ้น ก็อาจจะเลือกกองทุนอสังหาริมทรัพย์บางตัวที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 6-7% แน่นอนว่าอาจจะน้อยกว่าลงทุนในหุ้นบางตัว แต่ก็ยังมากกว่าการฝากแบงก์ไว้เฉยๆ หรือลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และพันธบัตร
เนื้อแท้ของการลงทุนอย่างพอเพียงคือ ต้องรู้จักขายเมื่อได้กำไรถึงระดับที่ตั้งใจไว้ ไม่โลภจนเกินไป มีนักลงทุนบางคนตั้งใจว่าพอได้กำไรจากหุ้นตัวหนึ่งซัก 50,000 บาท ก็จะขายแล้ว ปรากฏว่าพอถึงจุดนั้นจริงๆ กลับไม่ยอมขาย เพราะอยากได้มากกว่าเดิม
เมื่อปล่อยให้ความโลภเกิดขึ้น ก็เลยทำให้เสียโอกาสไปหลายคนแล้ว เพราะแทนที่ราคาจะขยับขึ้นไปอย่างที่คาดหวัง พอเจอสถานการณ์บางอย่างเข้าไป หุ้นรูดลงมาอย่างน่าใจหาย กำไร 20,000 ที่อยากได้ตอนแรก กลายเป็นว่าแค่หมื่นเดียวยังไม่ได้เลยตอนนี้ นั่นแหละ ผลตอบแทนของความโลภ
บนพื้นฐานของความพอเพียงนั้น ต้องเป็นการลงทุนด้วยความมีเหตุผล ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการลงทุนอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง และมีการติดตามบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
นี่เป็นแผนที่นำทางไปสู่ความพอเพียง ที่คุณหรือใครก็ไปยืนอยู่จุดนั้นได้ ข้อสำคัญ อย่าให้ความพอเพียงเกาะอยู่แค่เปลือกนอก แต่แก่นแท้ยังพลุ่งพล่านไปด้วยความอยาก ค่อยๆทำ ค่อยๆ เปลี่ยน แล้วคำว่าพอเพียงจะยอมอยู่กับชีวิตคุณแน่นอน


ชีวิตที่วิ่งตามความอยาก...ไม่รู้จักคำว่าพอ
ท่ามกลางกระแสแห่ง "ความพอเพียง" อันเชี่ยวกราก ที่ไม่ว่าจะหันไปมุมไหน ก็ได้ยินคำว่าพอเพียงแล่นเข้าหูไปซะทุกด้าน ลองถามตัวคุณเองดูว่า ชีวิตที่พอเพียงของคุณเป็นแบบไหน และชีวิตที่แท้จริงเป็นเช่นไร บางทีคุณอาจจะพบว่า เส้นทางความพอเพียงที่คุณยึดและปฏิบัติเพื่อให้เข้ากับกระแส เอาเข้าจริงๆ แล้ว อาจไม่ใช่ และเข้าใจอะไรผิดๆ มาตลอด
ลองมาฟังมุมมองของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือท่าน ว.วชิรเมธีดูบ้าง ว่าแก่นแท้ของชีวิตที่พอเพียง ควรเป็นอย่างไร และครรลองแบบไหนจึงจะเรียกว่าเป็นชีวิตที่พอเพียงอย่างแท้จริง
"ชีวิตที่วิ่งตามความอยาก จะไม่รู้จักคำว่าพอเพียง" ประโยคทองของท่านว.วชิรเมธีที่ให้ข้อคิดเอาไว้
ท่านยังได้ขยายความของคำว่า "พอเพียง" ในความหมายทางโลก คือการรู้จักประมาณในการบริโภค ในที่นี้คือให้รู้ประเมินศักยภาพของตัวเอง ว่ามีสถานภาพทางการเงินแค่ไหน จะได้ไม่จ่ายเงินเกินหน้าตัก หรือใช้จ่ายเกินตัว ในทางสังคม ก็ต้องประเมินตนเองได้ ไม่ทำอะไรเกินตัว เกินความจริง อาทิเช่น เป็นเลขาฯ ไม่ใช่ทำเกินนาย เป็นรัฐมนตรีก็ไม่ใช่ทำเกินรัฐมนโท ถ้าเกินเมื่อไรก็ไม่รู้จักคำว่าพอเพียง
นอกจากนี้ ท่านว.วชิรเมธีบอกว่า มนุษย์เราต้องบริโภค ปัจจัย 4 อย่างเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ แต่ปัจจุบันคนทั่วไปบริโภคอย่างไม่พอเพียง เรียกว่ามีการบริโภคปัจจัย 4 ที่ผิด
"อาทิเช่น เสื้อผ้าแทนที่จะบริโภคเครื่องนุ่งห่ม ก็กลายเป็นซื้อเสื้อผ้าเพื่อความโก้หรู เพื่อให้ทันสมัย ไม่ให้ตกเทรนด์ หรืออย่างอาหารแทนที่จะบริโภคเพื่อประทังชีวิต แต่กลายเป็นบริโภคเพื่อความอร่อย บริโภคเพื่อให้ดูดีมีรสนิยม ส่วนที่อยู่อาศัยแทนที่จะเป็นที่พักอาศัย แต่บางคนก็ปลูกบ้านหลังละเป็น 100 ล้าน ยาแทนที่จะมีไว้รักษาโรคภัย แต่กลับมีไว้เพื่อเสริมความงาม"
ท่าน ว.วชิรเมธีบอกว่า เมื่อมีการบริโภคที่ผิด โดยเกิดจากคุณค่าเทียม ถึงจะมีเงินเท่าไรก็ไม่พอใช้ ยิ่งถ้าปล่อยให้ความอยากเกิดขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ยังวิ่งตามความอยาก ก็จะไม่รู้จักพอ แต่ถ้าเราดำรงชีพโดยใช้ "ความจำเป็น" เป็นตัวตั้ง เราจะพอ ถ้าเอาความอยากเป็นตัวตั้ง ชีวิตเราจะสะกดความพอเพียงไม่เป็น
เป็นแง่คิดที่น่าจะทำให้คนที่พูดคำว่า พอเพียงบ่อยๆ ได้ย้อนดูและสำรวจตัวเองอีกครั้ง ว่าคุณได้สัมผัสความพอเพียงที่แท้จริงแล้วหรือยัง

Tuesday, January 29, 2008

Bridge Market in Lamphun " Ku mu "


TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

Thursday, January 24, 2008

Temple " WAT " ..... in Lamphun











TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.









Wat Ban Luk ... near my house, In morning we go to pay Monk.


















Lamphun in night time




King Jamatavee of Haripunchai
at Lamphun center,














Light Stand .....

Night Market ......

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

Thursday, January 17, 2008

TRAVEL : Early morning at Mahonsorn 6 ~ 7 AM.


We stay at Mahonsorn town one night. That week are very high season many tour coming last night difficault to fine Dinner. We know in real thing since morning there a lot food shop but we don't meet them reason we come to town in night time ready and first time for us. And real thing more that time we very hurgy too much found one or two food shops don't wait .... to fine more.



TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

TRAVEL : FISH Cape

This cap are not for us. Really for FISH ( BIG ) only. So special thing this fish have only leaving in side CAP and they come out some ....most them stay in side.

Once we saw in side ... that fish very big and skin black a little bit red. Very interesting so much.

At Tum Pa ( Fish cap ) you can camping ... you can bring your own or rent from nation park .. . too cheap krap.

You know .. some one tell me that Fish eat vegetarian !!! Belieave it or not ? it Real.




TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

Sunday, January 13, 2008

Happy birthday Nong Nut ..12 Jan,

My Kid, What you want in this birthday?

Happyness with you sister,

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

Tuesday, January 8, 2008

TRAVEL : Num- Rod Cape ( Water cape )


Num-Rod Cape in side have 3 big rooms go with raft .....adventure !!.


Inside very darkness, We have guide tour help to navigator walk to the room. This Cape have three rooms ....if you like to see the Cape over there very nice for you. For my self cape last one .. " Hoo my GOD !!" small from BAT excrement, the way to be high and steep. My Kids can be go there ..... Hoo my are Father must go together .... Fight !! ... ( Don't scare ....real it FUN krap )

TRAVEL STORY LOVE & ADVENTURE by Kantapat P.

Friday, January 4, 2008

TRAVEL : Trip Mahonsorn - PAI - Doi In-tha-non ( Part # 4 )

Pha Hun Moung ... at Wat Num - Hu , PAI



Pha Hun Moung live approx ~ 500 years old ..size width 28 inchs and hight 30 inchs historical not clear but some believe build by King Naresuan of Ayutaya take to Prince Suphankanlaya ( King old sister ) for buddhist routine.
Pha Hun Mong can open the top of head in side will be some water come out often. Monk bring that water mix with pure water make to holy water distribute to people and every one as want bring back to worship at home.


Wednesday, January 2, 2008

TRAVEL : Trip Mahonshon - Pai - Doi In-ta-non ( Part # 3 )



Night of 6 Dec 2007 stay at PAI


We stay with K. Dach House's, my pay only 1,500 baths liveing all of us as 7 bigs and 5 kids. Okay okay fine. I'm very lucky .. before one weeks my call booking room for stay that day at PAI got two room but 2,500 baths .. after call many place ..found full ...and full. My situation un-happy ..reason not choice for me. So why i got this home ... i tell you. The everning of booking day me and my family go to shopping at Rimping Food center near ChiangMai Air port that many people come to shopping a lot and Muvie star coming for opening New shop over there in same day. After we finish buy food ready once walk back to the car. Pass one shop " I Din shop " (mean smell of earth ) as sale soap and many thing make from indigenous medicinal herb look very nice ... my wife buy some Chocolate Soap and me buy Protect hot glove make from good cotton cloth ( Picture # 2 ). Owner shop name K. Ann. We talk together many thing and end at i tell her will go PAI. Her tell us have shop over there also and have friend home ... she checking immediately with K. Dach - PAI ...very lucky in 6 Dec vacancy for us ... GOOD & Cheap .. my point.
That Night we walking in PAI night maket easy to fine foods ... eat ...and eat ..Ha Ha Ha my old daughter very happy as she lovely to eat. We want her reduce the body size. Many time at my asking her will anwser to me " Me not FAT .. look Okay ... still can eat " this night maket nice krap, You should go there krap.
Thank you very much krap K. Ann -I Din shop & K. Dach mak mak krap.
To be continue ....

Phu Chaisai Resort & Spa

Phu Chaisai Resort & Spa
Phu Chaisai Resort & Spa is located on the hilltop outside town, about 35 km. from Chiang Rai Airport. It’s the perfect place for travelers who want to get back to nature, in the peace and quiet of their own private rooms set amid lush tropical gardens. The rooms are beautiful designed and constructed with materials that blend with their natural surrounding to ensure your total enjoyment and pleasure. Other facilities and activities include spa, mountain top restaurant, pool and sun deck, golf course, pony trekking, adventure tours and sightseeing. Whether you want to relieve your body and mind or have a marvelous holiday, Phu Chaisai Resort and Spa is the ideal choice.

GOOGLE SEARCH

Google

Boat House Pran Resort ( บ้านเรือปราณ รีสอร์ท )

Boat House Pran Resort ( บ้านเรือปราณ รีสอร์ท )
ของรีสอร์ทแห่งนี่ ว่าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ประมาณ 2-3 เดือน ด้วยความไฝ่ฝันของแกว่าอยากมีรีสอร์ทตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว รีสอร์ทแกมี 9 ห้อง ได้ว่างตลอดสัปดาห์ไม่มีคนมาพักเลย หรือแม้กระทั่งเสาร์ อาทิตย์ก็ตาม ทั้ง ๆ ที่เมื่อเทียบกับรีสอร์ทข้างเคียงผมว่าห้องพักแกไม่เป็นรอง เมื่อเทียบกับระดับราคา เรตห้องพักแล้วยิ่งไปกันใหญ่สนใจก็ติดต่อที่ ลุงช้องเองได้เลยนะครับ Tel : 032-630-613 , Mobiles : 083-1080260

Royal Flora Ratchaphruek 2006

Royal Flora Ratchaphruek 2006
My Wife and daughter at Ratchaphruek park last year.

Building inspection - รับตรวจสอบอาคาร

คุณ ต้องการผู้ตรวจสอบอาคาร หรือ โรงงาน ของท่านหรือไม่? ติดต่อเราครับ http://www.tarad.com/jiranit/ เรามีวิศวกรผู้ตรวจสอบ-ผู้เชี่ยวชาญที่จะดูแลท่าน ยินดีให้คำแนะนำ และ ตรวจสอบเบื้องต้นครับ ราคากันเอง ไม่แพงอย่างที่คิด
ติดต่อ คุณ ทรงพร เย็นยิ่ง โทร. 085-2268-707 , 081-699-5447 หรือ คุณ กันตพัฒน์ ภัทรเศรษฐวัฒน์ ( รับเรื่อง )โทร. 081-8304762
Email : kyenying@gmail.com

Copyright (c) Banthai-traveling.blogspot.com
family - Kantapat Pattrasethawat 2007
kyenying@gmail.com
Mobile phone : (66) 081-830-4762


Nong Thong on Beat Prajop province

Nong Thong on Beat Prajop province

Web Analysis by Google