Custom Search

GANESH (พระพิฆเนศ เทพแห่งความสำเร็จ)

GANESH (พระพิฆเนศ เทพแห่งความสำเร็จ)
Picture from Ganesh Himal , Chiang Mai - Thailand




Thailand is my county as very beautiful and my love Thailand.

View My Stats

Fu Dog

Fu Dog

My Kids HOME VIDEO ...on below.

My Kids HOME VIDEO ...on below.
http://hometangthai.blogspot.com/

Tuesday, July 15, 2008

Feeling Overwhelmed?

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

Feeling Overwhelmed?


Have you ever found yourself walking into the room and can't find your keys? Or forgetting why you entered the room in the first place? Then you begin wondering what has happened to your short-term memory? Do you end up feeling overwhelmed by information, people, to-do lists and demands on your time that our brains simply close down?

It's a phenomenon of our time. Our brains, created to respond to our environment and each other, are exponentially being taxed by the growth in information and technology.

Everyone and everything is competing for your attention. We want to respond but when it's overflowing like that, the brain just "goes blind". Engineers discovered this phenomenon when they installed hundreds of communication devices in cockpits, thinking it would improve the pilot's performance. Instead, the pilot's performance obviously decreased.

Information and technology will not go away. But there are ways to deal with this, here are some:

1. Determine Your Priorities and Focus On Them.
Don't let yourself be pulled into anything from meetings, to readings, to conversations that obstruct your priorities. Literally block out space on your daily to-do list for things that are important to you: from projects, to exercise, to family time. Ensure to stick to these times, without fail.

2. Say "No" To Answering Every Message.
The average individual receives around 70 phone, paper, and e-mail messages a day. Take care of those that are priority and let the rest drop off. Ignore the messages that are uninvited and unnecessary.

3. Let Technology Work For You In Prioritizing.
Screen your calls. For those who depend upon business coming in via phone and need to take every call, develop a way to shorten incoming calls. Have templates that you can use to send repetitive emails and messages, so that you do not have to re-type them each time.

4. Create A Centering Place.
Whether it is in the silence of your car, or in your office, or closing your door, take 15 minutes per day to practice paying attention to ONE thing: your breathing, a flower, a fish tank. Just like the muscle in our bodies, the brain gets strong in the places where we train it. Train it to maintain focus!

Tuesday, July 8, 2008

ของแต่งบ้าน ที่ทำให้บ้านมีสิริมงคล

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

ของแต่งบ้าน ที่ทำให้บ้านมีสิริมงคล
1. ส้ม เป็นรูปภาพก็ได้ หรือผลไม้เหมือนจริงมาใส่ตะกร้าบนโต๊ะในห้องรับแขกจะให้โชคลาภ
2. ทับทิม ควรปลูกไว้หน้าบ้านจะได้ลูกหลานที่ดี และไม่มีภัย
3. โต๊ะต่างๆ ภายในบ้าน ควรจะเลือกเป็นทรงกลม หรือแปดเหลี่ยม ถ้าเป็นสี่เหลี่ยมมุมโต๊ะควรเป็นมนๆ จะเสริมมงคลให้แก่บ้านสามารถขจัดพลังชั่วร้ายและดึงดูดเอาความเจริญเข้าสู่บ้าน
4. ของแต่งบ้านรูปหมู เป็นสัญลักษณ์ของโชคและความอุดมสมบูรณ์
5. ช้าง เป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญาและโชค ควรตั้งช้างไว้ในห้องรับแขก ห้ามตั้งช้างหันหน้าออกสู่หน้าประตูเด็ดขาด จะทำให้ครอบครัววุ่นวายมีแต่เรื่องขัดแย้ง
6. พัด การนำพัดมาตกแต่งบ้าน จะช่วยบันดาลให้คุณและคนในครอบครัวประสบความร่มเย็น เป็นสุข และมักได้ข่าวดีอยู่เสมอ
7. เต่า ควรตั้งตุ๊กตา หรือรูปปั้นเต่าไว้ในห้องนั่งเล่นหรือมุมใดในบ้านก็ได้จะทำให้คนในบ้านสุขภาพดีอายุยืน ยกเว้นห้องทำงาน
8. ไก่ ตุ๊กตาหรือรูปปั้นวัสดุใดก็ได้ ล้วนแต่เป็นสิริมงคลต่อบ้านในทางเรียกโชคลาภเงินทอง
9. เครื่องปั้นดินเผา การแต่งบ้านด้วยเครื่องปั้นดินเผาไม่ว่าจะเป็นรูปใดจะทำให้คนในบ้านมีฐานะการเงินที่มั่นคง

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ “กฎแห่งกรรม”

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ "กฎแห่งกรรม" (*** บ้านดิน ระเบียงดาว *** <info@baandinstar.com> )
"กฎแห่งกรรม" คำนี้เป็นคำที่คนไทยทุกคนรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี จนเข้าใจว่าเป็นเรื่องพูดกันเล่นๆ ก็มี ยิ่งพูดกันไปนานวันเข้า ความเข้าใจก็ยิ่งบิดเบือน บางคนถึงแม้จะเชื่อแต่ก็ไม่สามารถอธิบายคำถามต่างๆได้ บทเขียนนี้มุ่งเน้นที่จะอธิบายว่ากฎแห่งกรรมคืออะไร ทำหน้าที่อย่างไร ประโยชน์ที่ได้รับภายหลังเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยพยายามไม่อ้างอิงตำราและภาษาบาลี เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ ถ้าใครไม่มีเวลาอ่านทั้งหมด จะเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ควรอ่าน เปรียบเทียบปิดท้ายด้วย
1) กรรม
2) ใครเป็นผู้กำหนดกฏแห่งกรรมขึ้นมา
3) ทำไมจะต้องเสียเวลามาสนใจเรื่องกฏแห่งกรรมด้วย
4) การให้ผลของกรรม
5) จะเชื่อได้อย่างไรว่ากฏแห่งกรรมมีจริง
6) ชาติก่อนกับชาติหน้าไม่ใช่ตัวเราแล้วทำไมจะต้องสนใจกฎแห่งกรรมด้วย&ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมที่ คนที่ไม่ได้ทำต้องมารับโทษ
7) ทำไมกรรมต้องรอเวลาส่งผล ทำไมไม่ส่งผลต่อหน้าต่อตาคนจะได้รู้ว่ากรรมมีจริง?
8) กรรมเก่า vs. กรรมใหม่
9) ทำไมทำดีตั้งนานไม่เห็นได้ดี คนเลวบางคนกลับได้ดี
10) ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับและหลังความตาย
11) ประโยชน์ต่อสังคมเมื่อรู้และเข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างถูกต้อง
12) เปรียบเทียบปิดท้าย

สรุป
1) กรรม
คำว่า กรรม จริงๆแล้วเป็นคำกลางๆ หมายถึง 'การกระทำ' อาจเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ได้ ทุกครั้ง ที่สิ่งมีชีวิตกระทำกรรมโดยเจตนาทั้งทางกาย วาจา ใจ จะมีผลย้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ ผลที่ย้อนกลับมานี้ก็คือ 'วิบาก' หรือผลของกรรมนั่นเอง พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ได้มาฟรีหรือเสียไปเปล่า เหมือนเช่นกฎ 'conservation of energy and mass' ในฟิสิกส์ ที่ว่า สสารและพลังงานสามารถเปลี่ยนรูปแบบกันได้แต่สุดท้ายแล้วจะไม่มีอะไรสูญหายไปไหน แต่กฏแห่งกรรมนั้นพิเศษยิ่งกว่าคือมีตัวคูณอยู่ด้วยไม่ใช่ว่าทำ 1 ได้ 1ซึ่งตัวคูณนี้ขึ้นอยู่กับ จิต(คุณธรรม) ของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำนั่นเอง (ถ้ามีโอกาสผู้เขียนจะเขียนเรื่องพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ในโอกาสต่อไป) วิบากนี้เอง เป็นพลังงานอย่างหนึ่งซึ่งเป็นตัวผลักดัน หรือกำหนดให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้ พลังงานของ กรรมนั้นไม่สามารถจับต้องได้โดยตรงแต่สามารถรับรู้ได้ด้วยจิต พลังงานอันเกิดจากกรรมนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่สิ่งมีชีวิตที่มีจิตกระทำการใดๆโดยเจตนาและจะคอยตามให้ผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรงส่งของมันเองขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาไหนกรรมตัวไหนเหมาะสมที่จะส่งผล ซึ่งแม้แต่วิบากของกรรมทั้งกุศลและอกุศลเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้หายไปไหนสุดท้ายแล้วผู้กระทำนั่นเองจะเป็นผู้ได้รับผล ในทางตรงกันข้ามถ้าเรื่องใดไม่มีกรรมมารองรับให้เกิด เรื่องนั้นๆ ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้ กล่าวโดยสรุปแล้วคือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคนทุกคนไม่ไช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะตนเองที่ทำให้เรื่องนั้นๆเกิด การที่พวกเราได้มาเกิดเป็นคนก็เพราะกรรมดีที่เคยสั่งสมบุญบารมีส่งให้เรามาเกิดเป็นคน แต่ในสังคมปัจจุบันคนส่วนใหญ่มัวหลงประมาทกับชีวิตไม่ยอมรักษาแม้แต่ศีล 5 ทำให้โอกาสไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ต่ำกว่าคนนั้นช่างง่ายแสนง่าย
2) ใครเป็นผู้กำหนดกฏแห่งกรรมขึ้นมา
ไม่มีใครสร้างหรือกำหนดกฏนี้ขึ้นมา กฏนี้เป็นกฏของธรรมชาติและไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ภายหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงความจริงของธรรมชาติแล้ว จึงได้นำธรรมะและกฏแห่งกรรมมาพร่ำสอนสรรพชีวิตที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารเพื่อประโยชน์สุขของสิ่งมีชีวิตสืบไป เนื่องจากกฏนี้เป็นกฏของธรรมชาติ ดังนั้น ไม่ว่าก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือภายหลังถ้าศาสนาพุทธเสื่อมหายไปจากโลก กฏแห่งกรรมก็จะยังคงดำรงอยู่ไม่สูญหายไปไหน
3)ทำไมจะต้องใส่ใจเรื่องกฏแห่งกรรมด้วย
กฏแห่งกรรมนั้นเป็นความจริงของจักรวาล ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตจะรู้ หรือไม่รู้จักกฎนี้ก็ตาม ย่อมตกอยู่ภายใต้กฎนี้อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากจะเปรียบกับการเล่นเกมส์ ผู้เล่นย่อมต้องรู้กฎ กติกาของเกมส์นั้น เพื่อที่จะได้มีโอกาสชนะและไม่พลาดพลั้งโดนลงโทษ เช่นเดียวกับเกมส์ที่ทุกคนเล่นอยู่ทุกขณะจิตนี้ เป็นเกมแห่งวัฏสงสาร ซึ่งเดิมพันนั้นอาจเป็น ความสุข – ทุกข์ ชั่วกัปชั่วกัลป์ทีเดียว หรือเปรียบเสมือนบุคคลผู้ถูกผูกตาแน่นหนา(ด้วยอวิชชา) ไม่สามารถเห็นทางข้างหน้าได้ กำลังเดินอย่างไม่รู้จุดหมาย ถ้ามีคนตาดีมาบอกว่าข้างหน้ามีหน้าผา อย่าเดินไป แต่บุรุษผู้ถูกผูกตาไม่เชื่อดึงดันที่จะไป แล้วในที่สุดเดินตกลงไปในเหว เขาจะโทษใครได้เล่า? ในทางตรงกันข้าม ถ้าบุรุษผู้ถูกผูกตายอมเอาผ้าออก(ละมิจฉาทิฐิ) ยอมดูทางข้างหน้าซักนิด(มีสัมมาทิฐิ) อันตรายย่อมไม่เกิด นอกจากจะไม่ตกเหวแล้วเขายังสามารถเดินไปตามทิศทางที่ถูกต้องเพื่อไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัยและมีความสุขได้อีกด้วย
4) การให้ผลของกรรม
กรรมทุกชนิดที่เหล่าสัตว์ทั้งหลายกระทำไม่ว่าจะเล็กจะน้อยอย่างไรก็ตาม ล้วนมีผลกระทบกลับไปหาตัวผู้กระทำแน่นอน ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงแค่คิดตั้งใจจะทำ ไปจนถึงกรรมหนักที่สุดคือ อนันตริยะกรรม 5 กรรมทุกชนิดส่งผลแน่นอน แต่ขอให้ระลึกไว้ว่า วิบากนั้นก็ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์... อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน นั่นก็คือ การให้ผลกรรมนั้นไม่เที่ยง ไม่มีใครสามารถบังคับได้ว่ากรรมชนิดนี้ต้องให้ผลอย่างนี้อย่างนั้น เวลานี้เวลานั้น และ การให้ผลของกรรมนั้น ไม่ว่าจะดูยาวนานแค่ไหนสุดท้ายแล้วจะต้องดับไป ดังนั้น เมื่อเรามีเจตนาทำกรรมทางใดก็ตาม แน่ใจได้เลยว่าเราได้สร้างเหตุที่จะให้ผลของกรรมย้อนกลับมาหาตัวเองแล้ว ส่วนผล คือจะย้อนมาเมื่อไหร่ อย่างไร เท่าไรนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปกำหนดได้ ส่วนการให้ผลของกรรมนั้นจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่จิตได้เจตนากระทำไว้ ทำอกุศลด้วยอำนาจ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ส่งผลเป็นทุกข์ ถ้ากระทำกรรมด้วยกุศลก็ส่งผลเป็นสุข (เรื่องความสุขที่แท้จริงนั้นถ้ามีโอกาสจะเขียนถึงในโอกาสต่อไป) ดังนั้น การที่คนหนึ่งไปตีหัวคนอื่นไว้ก็ไม่แน่ว่าจะโดนตีหัวกลับ แต่อาจเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังเป็นต้น เคยสังเกตกันไหมว่าเรื่องบางเรื่องนั้นดูเหมือนจะบังเอิญเสียจริงถ้าองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งคลาดเคลื่อนไปเพียงไม่กี่นาทีหรือวินาทีเรื่องบางเรื่องก็คงไม่เกิดหรือไปเกิดกับคนอื่น ความจริงแล้วเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย แต่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น ณ วินาทีนั้นๆ เพราะมันมีเหตุให้เกิดตามนั้น หลายคนที่ไม่เชื่อกฏแห่งกรรมนั้น อาจมองว่าการไปทำให้คนอื่นทุกข์จะไม่มีผลกรรมย้อนกลับมาหา ตัวเองเพราะคนอื่นก็คือคนอื่น ตัวเราก็คือตัวเรา ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน จึงไม่น่าจะมีผลอะไรย้อนกลับมาหาผู้กระทำได้ แต่ความจริงแล้ว จิตเรานั่นเองที่ เกิด ดับอยู่กับตัวเราตลอดเวลาและคอยส่งผลตามที่จิตดวงก่อนหน้าได้กระทำไว้ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
5) จะเชื่อได้อย่างไรว่ากฏแห่งกรรมมีจริง
กฎแห่งกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้เพียงแต่คนเราไม่สนใจและกลัวที่จะรู้ว่ากฎแห่งกรรม และชาติก่อนชาติหน้ามีจริง ทำให้ตู่เอาว่ากฎแห่งกรรมเป็นรื่องพิสูจน์ไม่ได้ เปรียบเสมือนตัวกฎหมาย คนบางคนอาจไม่เคยเห็นตัวกฎหมายเลย แต่ทุกคนย่อมต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเชื่อในกฎหมายหรือไม่ ผู้ปฏิบัติผิดกฎหมายย่อมต้องได้รับโทษ จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายมิได้ เพราะประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องรู้กฎหมาย กฎแห่งกรรมก็เช่นกัน สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งก็ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม และมีหน้าที่ต้องระลึกรู้ผลลัพธ์ของกฎแห่งกรรมจึงจะไม่ถลำสู่อบายไปมากกว่านี้
วิธีที่จะเห็นกฎแห่งกรรมอย่างง่ายๆ ก็คือการเจริญวิปัสสนา มีสัมมาสติตามรู้กายรู้ใจเนืองๆ ถ้าทำถูกต้องจะเห็นได้ในเวลาไม่นาน ว่าสิ่งต่างๆล้วนเกิดแต่เหตุ ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ รวมทั้งจิตของสิ่งมีชีวิตก็เกิดดับเป็นทอดๆ ตามเหตุปัจจัยที่กระทบก่อนหน้า ถ้าจิตอกุศลเกิดขึ้นผลตามมาก็คือทุกข์
สำหรับผู้ที่เข้าใจกฏแห่งกรรมแล้ว จะเห็นตามจริงว่า ไม่มีอะไร เกิด-ดับโดยบังเอิญทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดับไปนั้น ล้วนเป็นไปตามเหตุอันควรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ตั้งแต่ความหงุดหงิดระหว่างวัน ไปจนถึง เรื่องใหญ่ๆ เช่น การเกิดกับพ่อแม่คนนั้นๆ การเกิดในที่นั้นๆ เรื่องความรัก ซึ่งทำให้คนมีทั้งสุขทุกข์แทบเป็นแทบตาย ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญทั้งสิ้น แต่ล้วนเพราะมีเหตุซึ่งอาจมาจากชาติที่แล้วหรือชาตินี้ องค์ประกอบต่างๆจึงมาประชุมกันในเวลาที่เหมาะสมแล้วเรื่องต่างๆ จึงเกิดขึ้น
แท้จริงแล้ว ความแตกต่างกันอย่างมากของมนุษย์บนโลกก็เป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่ากฎแห่งกรรมมีจริง บางคนดูเหมือนชีวิตจะเพียบพร้อมไปเสียหมด พบแต่ความสุขสมหวังในชีวิต ในขณะที่คนบางส่วนแทบไม่เคยพบความสุขในชีวิตเลย อะไรเป็นเหตุให้มีความแตกต่างเช่นนี้? ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมเลยถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะความบังเอิญ หรือเพราะคนที่พบความสุขนั้นถูกเลือกปฏิบัติโดยอะไรก็ตาม
6) ชาติก่อนกับชาติหน้าไม่ใช่ตัวเราแล้วทำไมจะต้องสนใจกฎแห่งกรรมด้วย & ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ไม่ได้ทำแต่กลับต้องมารับโทษ
เราจะมาวิเคราะห์ปัญหานี้จาก 2 มุมมอง มุมมองแรก คือมุมมองของคนทั่วๆ ไป ที่คิดว่า ตัวเขาเป็นตัวเป็นตนของเขาอยู่ทุกขณะจิต ในกรณีนี้ เขาก็ยังเป็นเขาอยู่ไม่ว่าชาติที่แล้ว ชาตินี้ หรือชาติหน้า ไม่ว่าเขาจะจำเรื่องที่ผ่านๆมาได้หรือไม่ ลองคิดดูเล่นๆว่า จะมีใครจำตอนที่คลอดออกมาจากท้องคุณแม่ได้หรือไม่ แน่นอนคำตอบก็คือไม่ได้ ดังนั้นจะบอกว่าไม่ได้เกิดมาจากท้องแม่หรือไม่? คนเราจึงไม่ได้ประกอบด้วยแค่ความจำ ฉะนั้นการที่คนเราจำชาติที่แล้วไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่เคยผ่านชาติก่อนมา หรือถ้าจะมองย้อนให้สั้นกว่าการเกิดจากท้องแม่ ลองมองความสุข ความทุกข์ใหญ่ๆที่เคยผ่านมาในชีวิตก็ได้ ถ้ามองตามความเป็นจริงแล้วจะพบว่าความสุขความทุกข์ไม่ว่าใหญ่หลวงแค่ไหน ล้วนผ่านมาแล้วผ่านเลยไปตามแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น สำหรับคนที่เคยผ่านทุกข์ใหญ่ๆมาแล้ว อาจเห็นทุกข์ที่ผ่านมาเป็นเรื่องเล็ก ดังนั้นไม่ว่าใครจะเคยตกนรกขึ้นสวรรค์มาอย่างไร การที่จำความสุข-ทุกข์ที่ผ่านมาไม่ได้ ย่อมไม่ใช่ว่าไม่เคยผ่านจุดนั้นมา ฉะนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตนั่นแหละ ที่ต้องไปเกิดใหม่ รับผลกรรมที่ได้กระทำไว้ ไม่ว่าจะจำชาติที่แล้วได้หรือไม่ก็ตามที ทุกอย่างจึงยุติธรรมที่สุด
ในมุมมองที่ 2 ซึ่งเป็นคำตอบที่แท้จริงในทางปรมัตถ์ ผู้ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบที่เห็นความจริง(ด้วยวิปัสสนา)ย่อมมองเห็นว่าตัวตนเขาไม่มีอยู่จริง ไม่ว่าในขันธ์ไหน ไม่ว่าในชาติที่แล้ว ชาตินี้ ชาติหน้า ก็ไม่มี 'เรา'อยู่ ความทุกข์นั้นมีอยู่จริงแต่ผู้รับทุกข์รวมไปถึงชื่อว่า 'ทุกข์'นั้นเป็นเพียงสมมุติ ทุกอย่างเป็นเพียงการหมุนเวียนของธาตุขันธ์ตามเหตุปัจจัย
ไม่ว่า 'เรา'จะจดจำกรรมที่เคยทำได้หรือไม่ แต่ประเด็นก็คือจิตที่เกิดอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นปัจจัยที่เกิดต่อเนื่องมาจากดวงจิตที่เคยทำกรรมชนิดนั้นๆมา ดวงจิตที่เกิดจากปัจจัยที่เป็นบาปย่อมได้รับทุกข์เป็นผลลัพธ์ สิ่งต่างๆมีเหตุจึงเกิดไม่มีเหตุก็ดับ นี้แลคือความยุติธรรม
สำหรับคนที่หลงมัวเมาทำกรรมชั่วอยู่เป็นนิจ แล้วนึกว่าจะไม่ส่งผลอะไรนั้น เป็นความคิดที่ผิด เพราะกรรมดีที่ส่งให้มาเกิดเป็นมนุษย์ยังไม่หมดต่างหาก เมื่อไรที่กรรมดีที่หนุนให้เป็นมนุษย์หมดลงจะมาสำนึกก็สายไปเสียแล้ว
ข้อสังเกตุ: เป็นเรื่องน่าแปลกที่เวลาคนเรามีความสุขไม่ค่อยมีใครคิดหรือพูดว่า 'ไม่ยุติธรรมเลย ที่เราไม่เคยทำบุญไว้แต่กลับได้รับความสุขเช่นนี้.....' ..........มนุษย์หนอช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน
7) ทำไมกรรมต้องรอเวลาส่งผล ทำไมไม่ส่งผลต่อหน้าต่อตาคนจะได้รู้ว่ากรรมมีจริง?
การที่กรรมจะให้ผลได้นั้น ต้องรอให้องค์ประกอบและปัจจัยทุกๆอย่างเหมาะสม ซึ่งองค์ประกอบที่เหมาะสมนั้นต้องใช้เวลา ใช่ว่าจะสามารถจัดขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังจะเห็นได้ว่าเหตุการณ์บางอย่างอาจเกิดขึ้นเพียงเพื่อให้ผลหลายสิบปีภายหลัง ตัวแปลต่างๆที่จะมีผลต่อการส่งผลของกรรมในโลกก็มีมากมายเกินกว่าจะพรรณนาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นความเจริญของโลกในขณะนั้นๆ การพบปะสิ่งมีชีวิตซึ่งเคยทำบุญทำบาปร่วมกันมา รวมทั้งสิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งหมด จะต้องมาประชุมกันในเวลาที่เหมาะสมที่จะให้ผลดังที่สิ่งมีชีวิตนั้นๆสมควรได้รับ ยิ่งไปกว่านั้น การที่กรรมส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตใดๆ มักจะมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆเป็นลูกโซ่ที่ร้อยเป็นวงกลมไม่มีหัวไม่มีปลายและสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตต้องได้รับผลตามสมควร ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กว่าสิ่งแวดล้อมทุกชนิดจะมาประชุมกันอย่างเหมาะสมต้องใช้เวลาจัด(บางทีก็หลายปีบางทีก็หลายชาติ) ยิ่งไปกว่านั้นภพบางภพก็ไม่เหมาะที่กรรมบางชนิดจะให้ผลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เรื่องบางเรื่องจึงต้องรอไปก่อนอีก (ขอให้อ่าน ทำไมทำดีตั้งนานไม่เห็นได้ดี…… กับ เปรียบเทียบปิดท้าย เพิ่มเติม)
8) กรรมเก่า vs. กรรมใหม่
ความเข้าใจเรื่องกรรมนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้ง ทุกสิ่งที่เกิดกับเรานั้น เป็นผลมาจากทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ไม่ใช่ว่าเป็นผลจากกรรมเก่าอย่างเดียวหรือกรรมใหม่ที่เราจำได้อย่างเดียว อย่างเช่น ถ้ารู้ว่าจะไปเมืองหนาวแต่ไม่เตรียมเสื้อผ้าหนาๆ แล้วเกิดไม่สบายขึ้นมา จะมาโทษกรรมเก่าทำให้ไม่สบายไม่ได้ ในลักษณะเดียวกัน คนที่ขี้เกียจเอาแต่นอนทั้งวัน จะมาโทษกรรมเก่าว่าทำให้จนไม่ได้ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างกรรมเก่ากับกรรมใหม่จะขอยกตัวอย่าง เช่นบุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารประเทศแต่กลับตัดสินใจโกงกินประเทศชาติเพื่อความร่ำรวย กรรมเก่าของเขา (ทั้งชาตินี้และชาติผ่านๆมา) เป็นตัวส่งให้เขามาอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจนั้นๆแต่กรรมเก่าไม่ได้กำหนดให้เขาโกง เมื่อเขาตัดสินใจโกงกินไปแล้ว เขาได้ก่อกรรมใหม่ขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเฉพาะหน้าให้เขามีเงินมีทองขึ้นมา แต่เขาหารู้ไม่ว่า ผลของการโกงกินนั้น คือความทุกข์ที่ยึดเยื้อยาวนานจนความสุขเล็กๆน้อยๆของความรวยในชาติหนึ่งๆนั้น ไม่มีความหมายใดๆเลย .....ระหว่างความร่ำรวยชาติหนึ่งด้วยการโกง แลกกับการต้องมีชีวิตขัดสน เช่นเกิดในเอธิโอเปียเป็นร้อยๆชาติ หรือการไม่โกงใช้ชีวิตไปเรื่อยๆแต่ไมต้องเกิดในที่กันดาล....จะเลือกทางไหน? นี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ แท้จริงแล้ว ผลของการกระทำบาปอย่างไม่รู้จักเกรงกลัว ส่งผลร้ายแรงเกินกว่าที่จะคาดคะเนถึงมากมายนัก ดังนั้นคนที่เข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างถูกต้อง จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแต่จะไม่ทุกข์ร้อนถ้าผลออกมาไม่ถูกใจ เพราะกรรมเก่านั้นผ่านมาแล้วจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา มันมีผลต่อเราแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด.....จงทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วกรรมใหม่จะค่อยๆบั่นทอนผลของกรรมเก่าเอง
9) ทำไมทำดีตั้งนานไม่เห็นได้ดี คนเลวบางคนกลับได้ดี
คนเรามักมีนิสัยเข้าข้างตัวเองอยู่เป็นนิจ มองว่าตัวเองทำดีแล้วถูกแล้วเสมอ แต่แท้ที่จริงแล้ว เอาอะไรเป็นตัววัดว่าดีจริงหรือไม่? แต่ละคนต่างมีบัญชีกรรมยาวยิ่งกว่าหางว่าว แต่อยู่ดีๆก็ต้องการให้กรรมดีที่ทำในปัจจุบันแซงหน้าบัญชีกรรมเก่า และแช่งให้กรรมชั่วที่คนอื่นทำในปัจจุบันรีบตามทันเร็วๆ พอไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ก็ตัดพ้อต่อว่า หาว่ากฎแห่งกรรมไม่มีจริงบ้าง หาว่าทำดีไม่ได้ดีบ้าง ทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยพิจารณาถึงความเลวของตัวเองและความดีของคนอื่นเป็นองค์ประกอบเลย
ที่ว่าคนเลวบางคนกลับได้ดีนั้นก็เช่นกัน ส่วนใหญ่ที่ว่าได้ดีก็คือรวย แต่ความรวยนั้นไม่ใช่ความสุข คนบางคนอาจรวยแต่ไม่มีความสุขก็ได้ จะเอาอะไรเป็นตัววัดว่าคนๆนี้เป็นคนดีจริง? ถ้าจะพูดโดยกว้างๆ คนดีก็คือคนที่ไม่ทำร้ายตัวเองและคนอื่น รวมถึงการลงมือช่วยคนอื่นเมื่อมีโอกาส ตัววัดที่เหมาะสมในขั้นต้นก็คือศีลนั่นเอง ถ้าบุคคลใดเริ่มต้นจากศีล 5 ได้ และดำเนินชีวิตภายใต้พรหมวิหาร 4 ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ธรรมอันดีงามต่างๆจะตามมาปรากฏให้เห็นได้ในภายหลัง (เรื่องพรหมวิหาร 4 ถ้ามีโอกาสจะเขียนในโอกาสต่อไป) อย่างไรก็ตาม ต่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนดีหรือคนเลวจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียว ที่จะเห็นผลกรรมอย่างเต็มน้ำเต็มเนื้อภายในชาตินั้นๆ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าปัจจัยต่างๆ ต้องใช้เวลาในการจัดล่วงหน้าพอสมควร และเนื่องจากกฎแห่งกรรมนั้นก็ตกอยู่ภายใต้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน จึงไม่แน่ว่ากรรมที่ทำในชาตินี้จะส่งผลให้เห็นในชาตินี้เลยหรือยังไม่เห็นเต็มน้ำเต็มเนื้อซะทีเดียว คนเราจึงต้องทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุดอย่างน้อยเพื่อจะช่วยบั่นทอนกรรมชั่วที่ผ่านมา แต่กรรมดีจะส่งผลเมื่อไหร่นั้น ไม่แน่นอน และไม่ใช่เรื่องที่ใครจะสามารถกำหนดได้
สรุปหัวข้อนี้ให้สั้นที่สุดก็คือ เราไม่ต้องไปสนใจคนอื่นว่าเขาได้ดีได้เลวเหมาะสมหรือขัดกับตัวเขาอย่างไรเพราะเรื่องของกรรมนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้งเกินกว่าที่จะมาคาดคะเนกันเล่นตามใจอยาก แต่ในที่สุดแล้วขอให้สบายใจได้ว่าสิ่งที่เกิดกับสิ่งมีชีวิตที่มีจิตทุกดวงนั้น เหมาะสมกับจิตดวงนั้นๆ ที่สุดแล้ว
(ขอให้อ่าน เปรียบเทียบปิดท้ายเพิ่มเติม)
10) ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับและหลังความตาย
ชาวไทยมีความเชื่อเกี่ยวกับความตายและชีวิตหลังความตายหลายอย่างแต่ที่น่าเสียดายก็คือความเข้าใจเหล่านี้มักเป็นความเชื่อนอกพุทธศาสนา ไม่ใช่ความรู้ที่ถูกต้องตามหลักพุทธะที่แท้จริง ความเข้าใจที่มักเชื่อกันว่าเรามีตัวตนอยู่อีกหนึ่งภายในตัวเรา เมื่อเราตาย ตัวตนคือ 'เรา' นี้ก็ล่องลอยไปหาที่อื่นอยู่นี่เป็นความเข้าใจผิดสุดโต่งทางที่หนึ่งในอีกด้านหนึ่ง ความเข้าใจที่คิดว่าตายแล้วสูญ ตายแล้วจบกันก็เป็นความเข้าใจที่ผิดสุดโต่งอีกข้างหนึ่ง ที่ผิดก็เพราะว่าจิตเป็นของเกิดดับรวดเร็วมากไม่ได้มีตัวตนถาวรอยู่ที่ไหน จิตที่เกิดใหม่ ทั้งในภพเดียวกันหรือข้ามภพ คือหลังตายนั้น ไม่ใช่จิตดวงเดิม แต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากจิตที่ดับไปก่อนหน้า เมื่อตายแล้วจิตดวงใหม่ก็ไปสร้างภพสร้างชาติในภพใหม่ทันที ในอีกด้านหนึ่ง ตายแล้วไม่สูญไปเฉยๆแน่นอน เพราะตัวเหตุปัจจัยที่นำ 'เรา' มาเกิดในชาตินี้คืออวิชชายังคงอยู่ จิตที่ไปเกาะในภพใหม่นั้นจะไปเกิดตามอารมณ์ของจิตก่อนเสียชีวิตซึ่งเราจะไม่สามารถไปควบคุมได้แต่จิตเขาเลือกอารมณ์ของเขาเองตามกรรมและความเคยชิน ถ้าเป็นอารมณ์ อกุศลก็ไปทุกขติ ถ้าเป็นอารทณ์กุศลก็ไปสุขติ อย่างนี้เป็นต้นสำหรับคนที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานจะพบความจริงที่น่ากลัวข้อหนึ่งว่าจิตของสัตว์ทั้งหลายเกาะอารมณ์ที่เป็นอกุศลตลอดวัน ถ้าปล่อยใจตามกิเลสไปเรื่อยๆ โอกาสไปเกิดในสุขติภพนั้นยากแสนยาก
11) ประโยชน์ต่อสังคมเมื่อรู้และเข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างถูกต้อง
ความเข้าใจกฏแห่งกรรมที่ถูกต้องนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสัมมาทิฐิที่ยังประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตอย่างเกินพรรณนา ทำให้คนคนหนึ่งสามารถ พัฒนาศักยภาพตนเอง และพบความสุขในชีวิตทั้งชาตินี้และชาติต่อๆไปได้ ถ้ามองในภาพกว้างการที่คนเข้าใจกฏแห่งกรรมมากขึ้นจะทำให้สังคมร่มเย็นสงบสุขขึ้นอีกเยอะทีเดียว สังคมไทยทุกวันนี้หย่อนด้วยศีลธรรมอย่างน่าใจหาย วิธีจะแก้ปัญหาต่างๆในสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอรัปชั่นไปจนถึงปัญหาการทำแท้งสามารถแก้ไขได้โดยเริ่มต้นที่การปลูกผังความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฏแห่งกรรม เนื่องจากพ่อแม่ไม่สามารถเฝ้าลูกตลอดเวลาและตำรวจก็ไม่สามารถเฝ้าโจรตลอดเวลาได้ การขยายความเข้าใจที่ถูกต้อง(สัมมาทิฐิ) ต่อจิตสำนึกของประชาชนจึงเป็นวิธีที่ลัดที่สุดและได้ผลที่สุด ในการแก้ปัญหาต่างๆ การช่วยกันเผยแพร่ความเข้าใจเรื่องกรรมที่ถูกต้องต่อ ลูก พ่อแม่ เพื่อนฯ จึงจะมีประโยชน์ทั้งต่อทั้งสังคมและสัตว์โลกอย่างสูง ผลของการที่คนแม้เพียงคนเดียวมีความรู้ที่ถูกต้องขึ้นมา ย่อมไม่หายไปไหนและจะยิ่งทำให้สังคมนั้นๆ น่าอยู่ยิ่งขึ้น ยิ่งเปอรเซ็นต์ของคนในสังคมไทยเข้าใจได้อย่างถูกต้องมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเข้าใกล้สังคมในอุดมคติมากขึ้นเท่านั้น
12) เปรียบเทียบปิดท้าย
เพื่อให้เข้าใจ กฎแห่งกรรม ได้ง่ายๆ จะขอยกสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่อย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นตัวอย่าง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก่อตั้งตั้งในปี คศ1878 โดยใช้ชื่อว่า Newton Heath LYR ถ้าเรามาดูว่าเมื่อ 127 ปีก่อนกับปีนี้ มีอะไรที่ยังเหมือนเดิมบ้าง คำตอบก็คือไม่มีเลย ทั้ง ชื่อ ผู้บริหาร นักเตะ สนาม คนเชียร์แต่ทำไมเราจึงเรียกว่าเป็นสโมสรเดิม? ทั้งนี้ ก็เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาทำไว้ตลอด 127 ปีก่อน ส่งผลให้เป็นเขาในวันนี้นี่เอง จะบอกว่า Manchester United ในวันนี้เป็นสิ่งเดียวกับเมื่อ 127 ปีก่อนก็ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรเหมือนเดิมซักอย่างเดียว แต่จะบอกว่าเป็นคนละสิ่งกันก็ไม่เชิง เพราะสิ่งที่เขาทำมันส่งผลมาถึงวันนี้โดยนัยเดียวกัน เวลาคนเราตายแล้วไปเกิดใหม่ จะบอกว่าเป็นคนเดียวกันก็ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย ทั้ง ร่างกาย รูป ความรู้สึก แต่จะบอกว่าเป็นคนละคนก็ไม่เชิงเพราะสิ่งที่เขาทำมาในอดีตนั่นแหละ จะเป็นตัวกำหนดส่งผลให้เขาไปเกิดใหม่เป็นอย่างนั้นๆ (จริงๆแล้ว ไม่ต้องพูดถึงข้ามชาติหรอก ดูภายในชาติเดียวกันนี่แหละ ตอนที่เราเด็กๆ กับตอนนี้มีอะไรเหมือนกันบ้าง?) กรรมเก่าก็เหมือนสิ่งที่ผู้บริหารชุดก่อนได้ทำไว้ จะบอกว่ามันไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะมันส่งผลถึงเราทุกวันนี้แต่จะบอกว่ามันคือทุกสิ่งก็ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัยบางอย่างเราสามารถควบคุมได้ ก็ควรทำให้ดีที่สุด การทำกรรมชั่วก็เปรียบได้กับการซื้อนักเตะฝีเท้าไม่ดีเข้าทีม การทำกรรมดีเปรียบเหมือนการซื้อนักเตะฝีเท้าดีเข้าทีม บางคนทำดีแล้วไม่เห็นผลดีก็เพราะว่า นักเตะฝีเท้าดีที่เราใส่เข้าไปในทีมยังไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก เพราะมีนักเตะฝีเท้าห่วยคอยฉุดดึงอยู่เยอะ แต่อย่าท้อ ถ้าเราหมั่นเปลี่ยนนักเตะฝีเท้าเลวออกเอา พวกดีใส่เข้าไปเรื่อยๆ ซักวันหนึ่งทีมของเราจะต้องเจิดจ้าขึ้นมาแน่นอน ในทางตรงกันข้าม บางคนที่เคยทำดีไว้เยอะก็เหมือนมีนักเตะฝีเท้าดีเต็มทีม การที่บางคนกลับมาทำชั่วในชาตินี้แล้วมองไม่เห็นผลทันทีทันใดก็เพราะนักเตะดีๆ คอยช่วยรั้งไว้ แต่ถ้ายังไม่สำนึกตัว ไม่เลิกทำชั่ว พอรู้ตัวอีกทีนักเตะฝีเท้าเลวก็เต็มทีมแล้ว นักเตะดีๆก็ออกจากทีมไปหมด พอหมดฤดูการแล้ว(ตายจากชาตินี้) ต้องตกชั้นแน่นอน(เกิดในภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์) แล้วทีนี้กว่าจะขึ้นมาใหม่ก็ยากเสียแล้ว
สรุป .......คุณยังไม่ต้องเชื่อทุกสิ่งที่อ่านในนี้...... แต่อย่างน้อย.......ขอให้ลองเข้ามาศึกษาคำสอนของ.....พระพุทธศาสนา รวมทั้ง..... กฎแห่งกรรม..... เมื่อศึกษาด้วยจิตที่เป็นกลางแล้ว.... จะเข้าใจความจริงของธรรมชาติ .....เมื่อไหร่ที่เข้าใจความจริงของธรรมชาติ......จะนึกเสียดายเวลาที่ปล่อยผ่านเลยไปก่อนเข้ามาศึกษา....... .............การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเสมือนดาบสองคม..... มีประโยชน์อนันต์สำหรับผู้มีปัญญา รู้ว่าอะไรควรไม่ควร.......แต่ก็เป็นโทษมหันต์เช่นกันสำหรับผู้ที่มีมิจฉาทิฐิ...... เพราะมนุษย์นั้นมีศักยภาพที่จะทำตั้งแต่เรื่องดีที่สุด ไปจนถึงเรื่องเลวที่สุด......ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง..... คุณต้องการสุขหรือทุกข์.....ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้ว... สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยดลบันดาลให้ สัมมาทิฐิ จงบังเกิดกับชนชาวไทยทุกคนด้วยเทอญ.................................................
----------------------------------------------------------------
'เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมีฉันนั้น ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ'
วชิราสูตรที่ ๑๐ ส. สํ. (๕๕๔)ตบ. ๑๕ : ๑๙๘-๑๙๙ ตท. ๑๕ : ๑๙๐ตอ. K.S. I : ๑๗๐

น้ำผลไม้ที่ควรดื่ม ตามกรุ๊ปเลือด

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.
คนเลือดกรุ๊ปโอ
ส่วนมากจะมีกรดในกระเพาะอาหารสูงสามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ไม่ควรกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป เพราะจะย่อยยาก เสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคอ้วน
เครื่องดื่มที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอคือ
• น้ำสับปะรด
• น้ำลูกพรุน
แต่ไม่ควรดื่มน้ำแอปเปิล น้ำส้ม น้ำกะหล่ำปลี
คนเลือดกรุ๊ปเอ
เรียกว่าตรงข้ามกับกรุ๊ปโอ แทบจะทุกอย่างเพราะเลือดกรุ๊ปนี้จะมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ
จึงเหมาะกับอาหารมังสวิรัติและควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกอาหารสำเร็จรูป เช่น
• ไส้กรอก
• แฮม
เพราะอาหารจำพวกนี้มีสารดินประสิวที่ไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร
เครื่องดื่มที่เหมาะสมกับคนเลือดกรุ๊ปเอก็คือ
• น้ำแอปพริคอต
• น้ำแคร์รอต
• น้ำเซเลอรี
• น้ำเกรปฟรุต
• น้ำสับปะรด
• น้ำมะนาว
เพราะมี วิตามินซีสูง แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้ม น้ำมะละกอและน้ำมะเขือเทศ

คนเลือดกรุ๊ปบี
เป็นกรุ๊ปเลือดที่สามารถต้านทานโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้แต่ยังมีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงควรกินอาหารจำพวก
• ผักใบเขียว
• ตับ
• ไข่
• นมไขมันต่ำ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญ
• น้ำกะหล่ำปลี
• น้ำแครนเบอร์รี่
• น้ำองุ่น
• น้ำมะละกอ
• น้ำสับปะรด
เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะ แต่ให้ระวังการดื่มน้ำมะเขือเทศ

คนเลือดกรุ๊ปเอบี
คนเลือดกรุ๊ปนี้ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารจึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีเช่น
• บร็อกโคลี่
• เชอร์รี่
• ส้มโอ
• เกรปฟรุต
• กะหล่ำปลี
• และดื่มน้ำแคร์รอต
• น้ำเซเลอรี
• น้ำแครนเบอร์รี่
• น้ำองุ่น
• และน้ำมะละกอ
เพราะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้มเพราะทำให้ย่อยยาก

Friday, July 4, 2008

วิธีคิดแบบ แยกเงินเดือนเป็น 4 ส่วน

TRAVEL STORY LOVE & ADVANTURE by Kantapat P.

กำลังใจให้กับคนทำงานในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
วิธีคิดแบบ แยกเงินเดือนเป็น 4 ส่วน
เห็นหลายๆคนกลุ้มใจ ไม่มีความสุขในการทำงาน ส่วนมากถ้าหางานใหม่กันได้ ก็ดีไป แต่ถ้าหาไม่ได้ จะทำอย่างไรในเมื่อเราต้องทำงานนั้นอยู่แล้ว
เรามีทางเลือกสองทาง
1. คือ...ทำงานไปอย่างไม่มีความสุข
2. หาวิธีทำงานไปอย่างมีความสุข หรือ ทุกข์น้อยลง

เรามาเปลี่ยนวิธีคิดกันดูซะหน่อย...เผื่อว่าเราจะได้ทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น และทุกข์ก็น้อยลง
*** คิดซะว่า...ถ้าได้เงินเดือนมา ให้แยกเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน และเงินแต่ละส่วน...บริษัทเขาจ้างให้เรามาทำงานตามแบบฉบับนี้
1. เงินเดือนส่วนแรก เขาจ้างมาให้คุณรับฟังคำตำหนิ ต่อว่า ทนกับอารมณ์ของเจ้านาย
2. เงินเดือนส่วนที่สอง เขาจ้างมาให้คุณรับฟังคำตำหนิ ต่อว่า ความจุกจิก งี่เง่า ของลูกค้า
3. เงินเดือนส่วนที่สาม เขาจ้างมาให้คุณ รับฟังการติฉิน นินทา อิจฉา ริษยา งี่เง่า กักขระ ของเพื่อนร่วมงานบางคน
4. เงินส่วนที่ 4 นี้เอง ที่เป็นเงินเดือน ที่เขาจ้างมาทำงานในหน้าที่ที่คุณรับผิดชอบ ดังนั้น ถ้าเจอปัญหาเจ้านาย
ให้ลองคิดดูว่า ให้ลดเงินเดือนตัวเอง 25% แล้วเจ้านายไม่บ่นว่า น่ะเอาไหม?? ให้ลดเงินเดือนตัวเอง 25% ให้เจอลูกค้าแสนดี น่ะเอาไหม??
ให้ลดเงินเดือนตัวเอง 25% ให้เจอแต่เพื่อนร่วมงานดีๆ น่ะเอาไหม?? ลดไปลดมา ได้ทุกอย่างดีหมด แต่เงินเหลืออยู่แค่ 25% ของเงินเดือนปัจจุบัน คุณเอาไหม ??
ลองใช้วิธีคิดแบบนี้นะครับ เผลอๆหลายคนอาจจะบอกว่า " อย่างนี้ให้เจ้านายด่าเพิ่มสองเท่า แล้วขึ้นเงินเดือนให้ 25% ก็เอานะ" " จิต" และ ความคิดคนเราเป็นเรื่องสำคัญนะครับ " อย่าปล่อยเวลาในชีวิตให้ความคิดของคุณเป็นลบ หรือคิดแต่ในแง่ร้าย "
ถ้าเรากำจัดความโกรธในจิตใจตนเองลงไปได้ เราก็จะทำงานได้อย่างมีความสุข
อย่าลืม!! ยิ้มเข้าไว้ ช่วยคุณได้นะ......

Phu Chaisai Resort & Spa

Phu Chaisai Resort & Spa
Phu Chaisai Resort & Spa is located on the hilltop outside town, about 35 km. from Chiang Rai Airport. It’s the perfect place for travelers who want to get back to nature, in the peace and quiet of their own private rooms set amid lush tropical gardens. The rooms are beautiful designed and constructed with materials that blend with their natural surrounding to ensure your total enjoyment and pleasure. Other facilities and activities include spa, mountain top restaurant, pool and sun deck, golf course, pony trekking, adventure tours and sightseeing. Whether you want to relieve your body and mind or have a marvelous holiday, Phu Chaisai Resort and Spa is the ideal choice.

GOOGLE SEARCH

Google

Boat House Pran Resort ( บ้านเรือปราณ รีสอร์ท )

Boat House Pran Resort ( บ้านเรือปราณ รีสอร์ท )
ของรีสอร์ทแห่งนี่ ว่าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ประมาณ 2-3 เดือน ด้วยความไฝ่ฝันของแกว่าอยากมีรีสอร์ทตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว รีสอร์ทแกมี 9 ห้อง ได้ว่างตลอดสัปดาห์ไม่มีคนมาพักเลย หรือแม้กระทั่งเสาร์ อาทิตย์ก็ตาม ทั้ง ๆ ที่เมื่อเทียบกับรีสอร์ทข้างเคียงผมว่าห้องพักแกไม่เป็นรอง เมื่อเทียบกับระดับราคา เรตห้องพักแล้วยิ่งไปกันใหญ่สนใจก็ติดต่อที่ ลุงช้องเองได้เลยนะครับ Tel : 032-630-613 , Mobiles : 083-1080260

Royal Flora Ratchaphruek 2006

Royal Flora Ratchaphruek 2006
My Wife and daughter at Ratchaphruek park last year.

Building inspection - รับตรวจสอบอาคาร

คุณ ต้องการผู้ตรวจสอบอาคาร หรือ โรงงาน ของท่านหรือไม่? ติดต่อเราครับ http://www.tarad.com/jiranit/ เรามีวิศวกรผู้ตรวจสอบ-ผู้เชี่ยวชาญที่จะดูแลท่าน ยินดีให้คำแนะนำ และ ตรวจสอบเบื้องต้นครับ ราคากันเอง ไม่แพงอย่างที่คิด
ติดต่อ คุณ ทรงพร เย็นยิ่ง โทร. 085-2268-707 , 081-699-5447 หรือ คุณ กันตพัฒน์ ภัทรเศรษฐวัฒน์ ( รับเรื่อง )โทร. 081-8304762
Email : kyenying@gmail.com

Copyright (c) Banthai-traveling.blogspot.com
family - Kantapat Pattrasethawat 2007
kyenying@gmail.com
Mobile phone : (66) 081-830-4762


Nong Thong on Beat Prajop province

Nong Thong on Beat Prajop province

Web Analysis by Google